4 เคล็ด(ไม่ลับ) ลดราคาโฆษณา Facebook (อย่างเห็นได้ชัด)

จากการที่นั่งอ่านพันทิปเล่นๆดู ผมเห็นว่าหลายๆคนที่โฆษณาใน Facebook มีปัญหาเรื่องที่ว่าราคาแพงกัน วันนี้ผมเลยคิดว่า ผมอยากจะเขียนเกี่ยวกับเรื่องที่ว่าจะทำยังไงให้สามารถช่วยประหยัดเงินของคุณได้ จะได้มีเงินเหลือไปกินบุปเฟ่ห์กันได้ ฮ่าๆ
ตามประสบการณ์ที่ผมทำโฆษณา Facebook มาเป็นเวลานาน ผมได้สรุปมาอยู่ 4 ปัจจัยใหญ่ ที่ทำให้ราคาโฆษณามันแพงขึ้นครับ
เรามาดูกันเลยดีกว่าครับ
บทความนี้มีอะไรบ้าง
วิธีที่ #1: เลือกรูปให้เหมาะกับโฆษณาของคุณ

สำหรับ Facebook แล้ว ถ้าโฆษณาไหนที่มีคนเห็นเยอะแล้วไม่มีคนคลิก Facebook จะถือว่าโฆษณานั้นไม่มีคุณภาพ และค่าคลิกจะแพงครับ หรือจะเรียกอีกแบบคือ ค่า Relevancy ต่ำครับ
การเลือกรูปมาลงในโฆษณาอาจจะดูง่ายนะครับ แต่จริงๆแล้วมันซับซ้อนกว่านั้นครับ เพราะรูปจะเป็นสิ่งที่แตะตาลูกค้าของคุณ และทำให้เขาตัดสินใจว่าจะคลิกเข้ามาดูโฆษณาของคุณหรือเปล่า
ถ้าคุณใช้รูปที่ถูก คุณก็จะได้คลิกเยอะขึ้น แล้วค่าโฆษณาก็จะต่ำลงไปด้วย
สำหรับคนที่ยังไม่แน่ใจว่าจะเลือกรูปยังไงดี ผมเขียนวิธีเลือกรูปให้ถูกวิธีแบบละเอียด กดตรงนี้เพื่อเข้าไปอ่านเลยครับ
วิธีที่ #2: สร้างโฆษณามาทดลองมากกว่า 1 ตัว
ปัญหาที่ผมเห็นบ่อยก็คือ คนหรือแม้แต่บริษัทที่โฆษณาบน Facebook จะพยายามสร้างโฆษณาที่ดีที่สุดเท่าที่ทำได้มา แล้วจะใช้โฆษณานั้นเพื่อการโปรโมตตลอด อันนี้ผิดครับ เพราะว่า ไม่ว่าคุณจะคิดว่าโฆษณานั้นมันดีแค่ไหน มันยังดีได้อีก
เพราะฉะนั้นสิ่งที่คุณควรจะทำคือสร้างโฆษณามามากกว่า 1 ตัวครับ แล้วลองโปรโมตดู สำหรับคนที่งบน้อย ผมแนะนำให้อย่างน้อย 2 ตัวนะครับ และสำหรับบริษัทที่มีงบอยู่แล้ว ผมแนะนำให้อย่างน้อย 5 ตัวครับ
ตัวอย่างโฆษณาทดลอง (ไม่ใช่รูปของผมครับ)

เมื่อไม่นานมานี้ผมทำโฆษณา Facebook ให้กับร้านอาหารในชิคาโก้ ประเทศอเมริกา ผมลองปรับสีผิวของรูปอาหารแค่ 12% ปรากฎว่าผลลัพคือ ผมได้คลิกมากขึ้นกว่าเดิมถึง 235 คลิกต่อวันเลยครับ และราคาก็ถูกลงมาเยอะมากด้วยครับ
ลองทดสอบดูนะครับ ให้เวลามันสัก 3 – 5 วัน แล้วคุณจะเห็นเองว่าอันไหนได้ผลดีที่สุด และถูกที่สุด หลังจากนั้นค่อยๆปิดโฆษณาตัวอื่นที่แพงและไม่ได้ผลครับ
อีก 1 ตัวอย่างครับ อันนี้เขามีโฆษณาอยู่ 3 ตัวที่เขาใช้ทดสอบครับ

วิธีที่ #3:จับตาดู Frequency cap ให้ดีๆ
Frequency คือตัวที่บอกว่า คนที่คุณไปโฆษณาเขาจะเห็นโฆษณาคุณได้กี่ครั้ง ตัวนี้ต้องระวังให้ดีเพราะหลายๆคนมองข้ามครับ ปัญหาที่ตามมาคือ
- โฆษณาของคุณไม่ได้เข้าถึงคนใหม่ๆ
- คนที่เห็นโฆษณาคุณซ้ำๆ เขาไม่ตั้งใจจะซื้อหรือคลิกอยู่แล้ว
ทางที่ดีควรจะตั้งค่า Frequency ให้อย่ามากกว่า 3 ครั้งนะครับ บางคนเห็นโฆษณาแล้วจะไม่คลิกทันที เพราะฉะนั้น 1 ครั้งมันน้อยไปครับ
ถ้าคนที่ยังไม่แน่ใจว่า frequency cap เป็นยังไง และตั้งยังไง ผมเขียนเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้ในโพสต์ที่อยู่ในลิ้งข้างล่างนี้เลยครับ
{link goes here}
วิธีที่ #4: เปลี่ยนรูปโฆษณา
ถ้าใช้รูปเดิมนานๆ สมองเรามันจะทำการบล็อกรูปนั้นอัตโนมัติครับ อะไรแบบนี้เขาเรียกว่า “banner blindness” คล้ายๆกับที่คุณจะไม่ได้กลิ่นตัวของตัวเองครับ เพราะสมองมันชิน จนมันไม่อยากจะสังเกตแล้ว
ในทางโฆษณาก็เหมือนกันครับ ถ้าคุณใช้รูปเดิมๆ ตลอดสมองของกลุ่มเป้าหมายคุณก็จะเลือกที่จะไม่สังเกตมันเหมือนกัน
สิ่งที่คุณควรจะทำคือการที่เปลี่ยนรูปโฆษณาให้บ่อยครับ (ในกรณีที่โฆษณาให้กับกลุ่มลูกค้าที่เล็ก และคาดว่าจะเห็นโฆษณาบ่อย) แนะนำให้ 2 อาทิตย์ครั้งครับ กำลังดี
สรุปเลยครับ
หลักๆเลยก็จะมีอยู่ 4 ตัวที่ผมพูดถึงนี้ครับที่จะมีผลกระทบต่อราคาของการโฆษณาใน Facebook แต่มันก็มีตัวอื่นอีก 2 – 3 เช่น relevance score, กลุ่มเป้าหมายของคุณ และ กลยุทธ์ในการใช้โฆษณาแต่ละรูปแบบที่ Facebook มีให้ครับ
แต่ตอนนี้คุณก็ได้รู้ 4 ปัจจัยหลักๆแล้ว ผมคิดว่าคุณก็พร้อมที่จะกลับเข้าไปแก้โฆษณาของคุณ แล้วผมหวังว่าคุณจะไม่ต้องจ่ายเยอะเหมือนที่ผ่านมาแล้วนะครับ
ถ้ามีคำถามอะไร ถามผมมาได้เลยนะครับ ผมจะพยายามตอบทุกคำถามครับ
โพสที่มีคนอ่านเยอะที่สุด:
- จาก 2 ถึง 4,227 ไลค์ (ละ ฿0.11) ทำยังไงมาดูกัน (โฆษณา Facebook)
- 87 สถิติที่คุณต้องรู้ (ถ้าทำโฆษณาใน Facebook)
- 43 ตัวอย่างโฆษณา Facebook ที่ (เจ๋งจนต้องร้องขอชีวิต) สำหรับปี 2018
- โฆษณา Facebook: 21 ไอเดียเจาะกลุ่มลูกค้าเด็ดๆ (ที่คุณอาจคิดไม่ถึง)
- Facebook Ads vs. Adwords อันไหนเหมาะกับธุรกิจคุณมากกว่ากัน?
โชคดีครับผม 🙂
- วิธีทำ SEO ให้ keywords ติดอันดับสูงๆ บน Google - September 29, 2022
- วิธีใช้ Instagram Hashtags อย่างเซียน แบบละเอียด (ฉบับเต็ม) - September 22, 2022
- Multi-Channel Online Marketing: คืออะไร ใช้เอาชนะคู่แข่งได้ไหม? - September 15, 2022
Leave a Comment