14 กลยุทธ์โฆษณา Facebook ช่วยให้ยอดขายทล่มทลาย (พลาดไม่ได้)

ใครที่เคยทำโฆษณาใน Facebook ก็จะรู้อยู่แล้วนะครับว่า Facebook เปลี่ยนกฎบ่อยมาก เทคนิคที่ใช้ได้ในปี 2016 อาจจะใช้ไม่ได้ในปี 2017 หลายๆคนเลยตามกฎใหม่ๆกันไม่ทันครับ
ผมจำได้ว่าตอนแรกๆโฆษณาใน Facebook มั่วไปหมด มีทั้งขายยาลดน้ำหนัก ขายยาปลุกเซ็กส์ และคนโฆษณาก็ใช้รูปมั่วไปหมดถึงขึ้นที่พี่โน๊ต อุดม ต้องออกมาพูดหยอดเล่นขำๆในเดี่ยว 11 (ฮ่าๆ)
แล้วตอนที่ Facebook เปลี่ยนกฎตอนนั้นมีคนต้องยุบธุรกิจกันหลายคนเลยครับ เสียรายได้กันเป็นแถว
ที่ผมกำลังอยากจะสื่อถึงก็คือว่าถ้าอยากจะประสบความสำเร็จในการทำโฆษณาใน Facebook ในปี 2018 ต้องรู้ hacks ก่อนครับ เพราะว่าจะทำมั่วๆไม่ได้อีกแล้ว โฆษณา Facebook ยิ่งเวลาผ่านไปยิ่งแพงขึ้นเรื่อยๆครับ
วันนี้ผมเลยอยากจะมาแชร์โฆษณา Facebook Hacks 12 ตัวที่คุณจะพลาดไม่ได้ถ้าคุณอยากจะเพิ่มยอดขายให้มันถล่มทลายตลอดไปครับ
เราไม่รีรอกันแล้วครับ เรามาเริ่มกันเลยดีกว่าครับ
กลยุทธ์ #1: สร้างโฆษณาที่ใช้รูปคนจริง (ไม่ใช่รูป Stock)
อย่าว่าแต่ธุรกิจ SME ทั่วไปเลยครับ ธุรกิจใหญ่ๆอย่างบริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่สร้างตึกเป็นพันๆล้านยังใช้ Stock Photo เลยครับ แต่รู้ไหมครับว่า จากผลสำรวจจากบริษัท Marketing Experiment รูปคนจริงๆ ที่ไม่ใช่ Stock Photo มีผลตอบรับ (Conversion) ดีกว่าถึง 35%
เหตุผลก็คือว่ารูป Stock Photo ส่วนใหญ่จะเป็นรูปที่คนใช้กันเยอะครับ ไปที่ไหนก็เจอไปหมด ทำให้เกิด Image Fatigue ครับ อย่างรูปนี้เป็นต้น
รูปผู้หญิงฝรั่งคนนี้ผมเห็นหลายเว็บมากเลยครับ คนเห็นบ่อยขึ้นเรื่อยๆก็จะเกิด Image Fatigue ครับ
สมองของเราทำงานแบบนี้ครับ สมองของเรามีพลังงานจำกัดในแต่ละวันครับ สมองเลยต้องกลั่นกลองข้อมูลว่าอันไหนควรจำ อันไหนควรจะไม่สนใจ
ยกตัวอย่างเช่น ผมอยู่ในตัวเมืองเชียงใหม่ครับ จะได้ยินเสียงเครื่องบินบ่อยมากๆ ตอนแรกๆรู้สึกรำคาญครับ แต่ต่อมาไม่ค่อยได้ยินเลยเพราะว่าเหมือนมัน “ชิน” ไปแล้วครับ
รูปโฆษณาก็เหมือนกันครับ ถ้าใช้รูปที่คนใช้เยอะๆอย่างพวก Stock Photo สมองของลูกค้าคุณก็จะเรียนรู้ที่จะไม่ใส่ใจเหมือนกันครับ
กลยุทธ์ #2: ใช้รูปที่กลุ่มลูกค้าไม่คิดว่าคุณจะใช้ (Surprise!)
อย่างที่ผมได้พูดไปข้างบนครับว่าถ้าเราเห็นอะไรบ่อยๆสมองเราจะเรียนรู้ที่จะไม่ใส่ใจใช่ไหมล่ะครับ?
เราเลยต้องเปลี่ยนมาใช้กลยุทธ์นี้แทนครับ นั้นก็คือการใช้รูปที่กลุ่มลูกค้าของคุณไม่คิดว่าคุณจะใช้หรือใช้รูปที่มันแปลกตาครับ เช่น ถ้าสมมุติผมทำการตลาดให้กับบริษัท McDonald’s แทนที่ผมจะเอา Joker มาโฆษณา ลองเอาช้างของไทยมาใส่ชุด McDonald’s เป็น Mascot ของร้านดูครับ คนจะคาดไม่ถึงใช่ไหมล่ะครับ?
ลองดูโฆษณารูปข้างล่างนี้เลยครับ
รูปข้างบนเป็นรูปที่มันดู “แปลก” มากๆครับ คือเห็นแล้วนี้อยากจะหยุดดูเลยครับว่ามันคืออะไร
อย่างที่บอกไปครับว่าสมองเราไม่ชอบอะไรที่จำเจครับ ถ้ามันเป็นอะไรที่เดิมๆ สมองจะไม่ใส่ใจทันทีครับ
ลองจินตนาการดูนะครับว่าวันๆหนึ่งคุณกำลังขับรถผ่านทุ่งหญ้าแล้วจู่ๆก็เห็นฝูงโคนมเดินกันเป็นแถว แล้วคุณเกิดเห็นโคนมตัวนี้ขึ้นมา คุณจะคิดยังไงครับ?
คุณก็จะจำติดหูติดตาเลยใช่ไหมล่ะครับ? เพราะว่าอะไรครับ? เพราะมันไม่เหมือนตัวอื่นไงครับ สมองเราได้รับข้อมูลที่ “ไม่จำเจ” นั่นเองครับ
กลยุทธ์ #3:ใช้ตัวเลขในโฆษณาเยอะขึ้น
การใช้ตัวเลขในโฆษณาไม่ว่าจะเป็นการบอกราคา บอกว่าคนซื้อเท่าไหร่ บอกว่าคนสนใจโฆษณาของคุณกี่คน ตัวเลขพวกนี้สามารถเพิ่ม Conversion ให้คุณได้ครับ
อย่างเช่นตัวเลขเกี่ยวกับ ไลค์ คอมเมนต์ หรือแชร์ ในโฆษณา Facebook ของคุณก็จะบอกให้กลุ่มลูกค้าหน้าใหม่ๆ ของคุณได้เห็นว่ามีคนสนใจสินค้าของคุณมาก่อนอยู่แล้ว อันนี้เขาเรียกว่า “Social Proof” ครับ
อย่างในตัวอย่างนี้ Sumome บอกว่ามีเว็บที่ใช้เครื่องมือช่วยทำการตลาดออนไลน์ของเขาถึง 150,000 คน ตัวเลขแบบนี้จะช่วยทำให้กลุ่มลูกค้าของคุณเห็นว่าแบรนด์คุณมีคนใช้อยู่แล้ว และจะเชื่อใจคุณมากกว่าแบรนด์ที่ไม่มีใครใช้เลย
กลยุทธ์ #4:ใช้ Emoji ในโฆษณา
Emoji สำคัญมากครับในการสื่อสารในโลกออนไลน์สมัยนี้ คุณคิดว่า Line ดังได้ยังไงครับ? เพราะว่าเข้ามี Stickers ที่น่ารักไงครับ ใครๆก็ชอบและอยากใช้ บางคนเป็นแฟนกันผมเห็นคุยกันโดยใช้ Stickers เลยครับ ไม่มีตัวหนังสือเลย (ทำได้ไงฟ๊ะ!!) 555
คนเราส่วนใหญ่ไม่ชอบอ่านครับ ชอบที่จะดูเป็นรูปมากกว่า เพราะฉะนั้นแอ็ปมือถือดังๆอย่าง Instagram, Snapchat, Facebook เลยเกิดครับและ App ที่มีแต่ตัวหนังสืออย่าง Twitter ก็เลยไม่โตกว่านี้แล้วครับ
บริษัท Scoro ก็เคยทำ A/B testing ให้กับโฆษณาที่มี Headline ที่ใช้ Emoji กับไม่ใช้ Emoji ครับ
ผลออกมาก็คือโฆษณาที่มี Emoji ใน Headline ได้คลิกเยอะกว่า 241% ครับ
เห็นไหมล่ะครับว่า Emoji มีผลเยอะแค่ไหน? ที่ Zozav เราก็ใช้ Emoji ในการทำโฆษณาเหมือนกันครับและเราก็เห็นผลตอบรับเดียวกันจากกลุ่มลูกค้าเลยครับ
กลยุทธ์ #5:ใส่รีวิวลูกค้าเข้าไปในโฆษณาด้วย
การที่ใส่รีวิว (Testimonial) เข้าไปในโฆษณาด้วยจะเป็นการโฆษณาแบบใช้ Social Proof ครับ อันนี้ต้องระวังกฎตัวหนังสือ 20% นิดหนึ่งครับ
ถ้าใครยังไม่คุ้นเคยกับกฎตัวหนังสือ 20% ของ Facebook ก็คือในพื้นที่รูปโฆษณาของคุณ คุณมีตัวหนังสือได้ไม่เกิน 20% ของพื้นที่ทั้งหมดครับ
ลองดูจากภาพข้างล่างนี้เลยนะครับ
เรากลับมาถึงเรื่องการใส่รีวิวในรูปโฆษณาต่อเลยนะครับ
อย่างโฆษณาตัวอย่างข้างล่างนี้ครับ เขาใช้รีวิวเข้าไปก็จริงแต่ตัวหนังสือรีวิวไม่ได้ใช้พื้นที่เยอะกว่า 20% ครับ เพราะฉะนั้นก็เลยผ่านครับ!
เทคนิคนี้จะดีต่อการที่ทำให้คุณช่วยเพิ่มความมั่นใจให้กับลูกค้าครับว่ามีคนใช้ของคุณแล้วดีจริงๆ
ข้อควรจำ: ให้เลือกรีวิวจากคนที่มีชื่อเสียงหรือดังในแวดวงธุรกิจของคุณเท่านั้นครับ เพราะถ้าใช้คนทั่วไปมันดูไม่ค่อยน่าเชื่อถือเท่าไหร่
ถ้าเป็นคนทั่วไปผมแนะนำให้เอาหลายๆคนครับอย่าเอาแค่คนเดียว
กลยุทธ์ #6:ทำให้ลูกค้ารู้สึกไม่กลัวที่จะซื้อ
ไม่กลัวที่จะซื้อในที่นี้ผมหมายถึงว่าถ้าลูกค้าซื้อสินค้าของคุณไปแล้ว เขาไม่รู้สึกว่าเขาจะเสียเงินเปล่าๆถ้าใช้ไม่ดีหรือไม่ได้ผลครับ
นั้นก็คือเสนอ “คืนเงิน” หรือ “รับเปลี่ยนคืน” อะไรเป็นต้นครับผม
เพราะว่าของสมัยนี้ที่ขายกันส่วนใหญ่ก็ขายคล้ายๆกันครับ ลูกค้าเลยไม่รู้ว่าจะเลือกอันไหนดี สิ่งที่จะช่วยทำให้เขาตัดสินใจคือความรู้สึกที่ไม่กลัวที่จะซื้อครับ ลองเสนอ “ไม่พอใจยินดีคืนเงิน ภายใน xx วัน” ดูครับ
เหมือนกับโฆษณาของ Kerafiber ที่สัญญาว่าจะคืนเงินภายใน 30 วันถ้าลูกค้าไม่พอใจ และจะไม่ถามคำถามอะไรให้กวนใจเลยสักคำ
ยิ่งสมัยนี้ที่เศรษฐกิจแย่และผมคิดว่าใน 2018 เศรษฐกิจก็คงจะไม่ต่างอะไรจากตอนนี้มาก เพราะฉะนั้นการที่เราเสนอ “คืนเงิน” ถ้าลูกค้าไม่พอใจ จะเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญในการขายของออนไลน์ในปี 2018 ครับ
กลยุทธ์ #7:ทดลองคำอธิบาย สั้น vs. ยาว
อันนี้มันขึ้นอยู่กับกลุ่มเป้าหมายของคุณนะครับว่ากลุ่มเป้าหมายคุณจะชอบอ่านคำอธิบายสั้นหรือยาวครับ เอาง่ายๆเลยกลุ่มเป้าหมายคุณสมาธิสั้นหรือยาวครับ (555)
ในการทำตลาดแล้ว เราไม่สามารถจะเดาได้ครับเพราะกลุ่มลูกค้าอาจจะมีความคิดไม่เหมือนเรา เราเลยก็ลงโฆษณาเพื่อทดลองก่อนว่าคำอธิบายสั้นหรือยาวอันไหนได้รับผลตอบรับ (Feedback) ดีกว่ากัน
ดูตัวอย่างข้างล่างนี้เลยครับ
S&C Company ได้ทดลองว่าคำอธิบายสั้นหรือยาวอันไหนจะได้ผลดี (สำหรับเขา) มากกว่ากัน ผลลัพท์ออกมาก็คืออันแรกได้ CTR (คลิก) เยอะกว่า 10% ครับ
สำหรับคุณก็ต้องลองเอาไปทำดูนะครับ ดูว่ากลุ่มลูกค้าของคุณให้ผลตอบรับเป็นยังไง
กลยุทธ์ #8:เขียนโฆษณาของคุณให้เป็น “คำถาม”
การใช้โฆษณาในแนวเชืองคำถามจะดีที่ว่ากลุ่มลูกค้าของคุณจะต้องหยุดแล้ว “คิด” ครับ ส่วนสำคัญในการโฆษณาใน Facebook คือการที่เราสามารถ “ดึงดูดความสนใจ” จากลูกค้าให้ได้ครับ
เราต้องเข้าใจนะครับว่าโฆษณาของคุณไม่ได้แข่งกับโฆษณาอื่นอย่างเดียว คุณต้องแข่งกับรูปตลกๆ รูปเพื่อนๆเขาและอะไรที่แชร์เยอะแยะมากมายครับ เพราะฉะนั้นถ้าคุณสามารถทำให้ลูกค้าของคุณ “หยุด” และ “ให้ความสนใจ” กับโฆษณาของคุณได้ ถือว่าคุณสำเร็จไปแล้ว 60% ครับ
อย่างที่เราเห็นในตัวอย่างครับว่า Soylent เขาได้ใช้กลยุทธิ์นี้เพื่อ “ดึงดูดความสนใจ” ลูกค้าครับ แล้วก็ทำออกมาได้ดีด้วยครับ
อันนี้ก็อีก 1 ตัวอย่างครับ
Promo โหดครับเพราะว่าใช้ทั้งรูปคนและคำถามเลย ไม่คิดจะเหลือลูกค้าให้เจ้าอื่นเลยหรือยังไง? 555+
กลยุทธ์ #9:ปลุกความอยากรู้อยากเห็น
ลักษณะหนึ่งที่สำคัญมากของคนก็คือ “ความอยากรู้อยากเห็น” ครับ คนเราใครๆก็อยากรู้อยากเห็นทั้งนั้นครับ
มีเว็บๆหนึ่งที่ผมอยากจะยกตัวอย่างก็คือ “Buzzfeed” ครับ เว็บนี้เขียน Headline ที่ทำให้คนรู้สึกว่า “อยากจะรู้ว่าข้างในมีอะไรต่อ” ครับ แล้วก็ได้ Social Shares บานเลยครับ (คนแชร์ในโซเชี่ยว)
ผมใช้ Buzzsumo ไปดูครับว่า Buzzfeed เขามีแชร์อะไรยังไงเยอะแค่ไหน และ โพสไหนที่ได้แชร์เยอะที่สุด เกือบล้มทั้งยืนครับเพราะโหดมาก!
การทำให้ลูกค้าอยากรู้อยากเห็นเราเรียกว่า “curiosity gap” ครับ พูดกันในภาษาง่ายๆเลยก็คือข้อมูลที่เราได้มามันยังไม่ครบนั้นเองครับ เราเลยอยากจะคลิกเข้าไปหาเพิ่มให้ข้อมูลครบสักที
ผมเคยอ่านผลการทดลองของ Copyhackers ครับว่าเขาใช้ Curiosity Gap แล้วเป็นยังไง ผลออกมาคือเขาได้คลิกเพิ่มขึ้นถึง 927% ครับ (จะบ้าไปแล้ววว!!)
เรามาดูยักษ์ใหญ่อย่าง Uber ใช้เทคนิค Curiosity Gap กันครับ
Uber ใช้คำถามเพื่ออยากให้คนที่สนใจขับรถให้ Uber ว่ารถยนต์ของเขาเหมาะกับการขับ Uber หรือเปล่า?
จริงๆแล้วผมก็เห็นมันเหมาะหมดนะครับ บางทีผมเจอรถกระบะมายังมีเลย เมื่อก่อนเจอแต่รถเก๋งธรรมดา ฮ่าๆ
เรามาดูอีกยักษ์ใหญ่ SEO กันครับ นั้นก็คือ Ahref ครับ
Ahref ใช้เทคนิค Curiosity Gap เพื่อที่จะทำให้คนที่มีเว็บและทำ SEO อยู่แล้วสงสัยว่า “ต้องใช้เวลานานเท่าไหร่ถึงจะขึ้นหน้าแรกของ Google” ครับ
ขนาดผมเขียนบทความนี้แล้วเจอตัวอย่างผมยังอยากจะรู้เลยครับ
กลยุทธ์ #10:ใช้โฆษณาที่มีเวลาจำกัดชัดเจน
ลูกค้าหลายๆคนอาจจะอยากซื้อสินค้าของคุณจริงๆครับแต่ยังไม่ซื้อทันทีเพราะว่าดูๆไปก่อน เผื่อจะมีอะไรที่น่าสนใจขึ้นมาอีกใช่ไหมครับ?
เพราะฉะนั้นการที่คุณยิงโฆษณาสินค้าพร้อมกับ “เวลาจำกัด” ให้ชัดเจนก็อาจจะทำให้ลูกค้าที่ “ดูก่อน” กลายเป็นลูกค้าที่ซื้อสินค้าเลยก็ได้ครับ
ดูอย่างโฆษณาตัวอย่างข้างล่างนี้เลยครับ
คุณจะเห็นครับว่า Curlkit เขาได้ใช้เทคนิคนี้เหมือนกันโดยการบอกให้ลูกค้ารู้ว่า “เหลือแค่ 4 วันเท่านั้นนะ!”ครับ
เพราะอย่างที่ผมเคยบอกไปว่าตอนนี้การขายของออนไลน์มันมีคู่แข่งเยอะครับ และคู่แข่งของคุณไม่เหมือนเมื่อก่อนที่ว่าร้านคุณอยู่ใกล้กับลูกค้ามากกว่า ตอนนี้คู่แข่งอยู่ในแทบ Browser ถัดไปของคุณเองครับ
เพราะฉะนั้นถ้าคุณใช้เทคนิคนี้ คุณอาจจะทำให้ลูกค้าที่ลังเลว่าซื้อจากร้านไหนดี มาเป็นลูกค้าของคุณได้ครับ
กลยุทธ์ #11:ใช้รูปที่มีสีฉูดฉาดเพื่อดึงดูดความสนใจ
ผมเคยพูดไปแล้วนะครับว่าโฆษณาของคุณไม่ได้แข่งกับโฆษณาอื่นอย่างเดียว คุณต้องแข่งกับ Youlike รูปเพื่อนของเขา และอะไรอีกหลายอย่างครับ ถ้าโฆษณาของคุณไม่น่าสนใจ คงจะเป็นไปได้ยากครับที่จะมีกดหรือซื้อของจากคุณ
เรามาดูโฆษณาตัวอย่างที่มีสีฉูดฉาดกันครับ
Nike รู้เทคนิคนี้ดีครับเลยใช้พื้นหลังที่เป็นสีที่เตะตาครับ สุมมุติว่าถ้าคุณกำลังเลื่อนๆลงมาดูอะไรเล่นๆอยู่แล้วเห็นโฆษณาอันนี้ อย่างน้อยๆก็ต้องหยุดดูสักหน่อยใช่ไหมล่ะครับ?
1 ใน เหตุผลนั้นก็คือเพราะว่ารูปส่วนใหญ่ที่ใช้ใน Facebook จะไม่เตะตาครับ ถ้าเจอรูปที่เตะตาเราก็จะรู้สึกว่ามัน “ดึงดูดความสนใจ” เราทันทีครับเหมือนที่ผมพูดไว้ข้างบน
เรามาดูอีกตัวอย่างหนึ่งกันครับ
เห็นไหมครับว่า G2 Crowd ได้ใช้สีพื้นหลังที่เตะตาและฉูดฉาดได้ใจเลยครับ โฆษณานี้ผมชอบเป็นพิเศษเพราะว่า
- สีสวยดี ดึงดูดความสนใจดีมาก
- ตัวหนังสือในโฆษณาน้อยแต่เข้าใจง่าย
- Headline ของโฆษณาดี (สั้นแต่ได้ใจความ)
- คำอธิบายโฆษณาสั้นแต่ได้ใจความ
ถือว่า G2 Crowd ทำออกมาได้ดีมากครับ
ในเรื่องสีผมอยากจะเข้าใจอีกสักหน่อยนะครับ ผมเลยอยากจะเอา Infographic นี้มาให้ดูครับผม ใน Infographic นี้จะบอกว่าแต่ละสีบ่งบอกถึงอารมณ์ยังไงบ้าง
จะเห็นนะครับว่าสีแต่ละสี จะกระตุ้นอารมย์ที่แตกต่างกันออกไป คุณลองอ่านแล้วคิดตามนะครับว่าแบรนด์ของคุณเข้ากับสีอะไรมากที่สุด
สีเหลือง: รู้สึกไปในทางที่ดี รู้สึกชัดเจน รู้สึกอบอุ่น
สีส้ม: รู้สึกเป็นมิตร รู้สึกอารมณ์ดี รู้สึกมีความมั่นใจ
สีแดง: รู้สึกตื่นเต้น รู้สึกกระปี้กระเป่า รู้สึกกล้า
สีม่วง: รู้สึกมีความคิดสร้างสัน รู้สึกเพ้อผัน รู้สึกมีสติปัญญา
สีน้ำเงิน: ความเชื่อถือ รู้สึกว่าพึ่งพาได้ แข็งแกร่ง
สีเขียว: รู้สึกสงบ รู้สึกถึงการพัฒนา รู้สึกถึงสุขภาพ
สีเถา: รู้สึกถึงความสมดุล รู้สึกกลางๆ รู้สึกสงบ
ลองคิดดูนะครับ ว่าอยากจะให้โฆษณาของคุณสื่อถึงอารมณ์แบบไหน แล้วเลือกสีนั้นดูครับ
กลยุทธ์ #12:ใส่ส่วนลดเข้าไปในรูปโฆษณา
บางทีการที่เราใส่ส่วนลดลงไปในคำอธิบายโฆษณาธรรมดาอาจจะยังไม่เพียงพอครับ ลองใส่เข้าไปในรูปโฆษณาไปเลยครับ ให้มันเห็นชัดๆกันไปเลย
อย่างที่ผมบอกครับว่าบางทีลูกค้าอาจจะอ่านเร็วๆแล้วเลื่อนผ่านไปโดยที่ไม่ค่อยได้ดูอะไรมากครับ เพราะฉะนั้นอาจจะไม่เห็นก็ได้
มาดูตัวอย่างแรกกันเลยครับ
Startup Drugz ค่อนข้างโหดครับเพราะว่าใส่คำว่าลดราคา 20% ไปเลยตั้ง 5 ที่ ถ้าไม่เห็นให้มันรู้ไปครับ 555
ความจริงผมก็ใช้เทคนิคนี้ในโฆษณาของ ZoZav เหมือนกันครับ
เรามาดูตัวอย่างอีกอันหนึ่งของ Jabong กันครับ
เห็นไหมครับว่า Jabong เขาใส่ส่วนลดให้เห็นได้ชัดมากๆ ไม่เห็นให้มันรู้ไปครับ
กลยุทธ์ #13:ใช้รูปคนตั้งแต่คอถึงไหล่ (headshot)
สำหรับคนที่เคยเล่นเกมส์ยิงปืนมา อันนี้ไม่ใช่ Headshot อย่างที่คิดไว้นะครับ (เสียใจที่ทำให้ผิดหวังครับ 555+) อันนี้ผมหมายถึงรูปที่ถ่ายตั้งแต่หัวถึงคอครับ ไม่เต็มตัว
เทคนิคนี้จะดีตรงที่ว่านี้จะได้ผลเพราะว่าลูกค้าจะ “งง” และเกิดความ “สนใจ” ครับว่า “เห้ย ไอ่นี้เป็นใครฟ่ะ ทำไมมันมาอยู่หน้า Feed ตรู มันต้องการอะไร?” คนเลยหยุดดูครับ ถึงแม้จะแค่ 2–3 วินาทีก็มีความหมายมากๆครับ
เราเคยพูดกันไปแล้วครับว่าส่วนสำคัญที่ส่วนในการทำโฆษณาใน Facebook แค่การทำให้ลูกค้าหยุดและไม่เลื่อนลงไปต่อครับ
เรามาดูกันครับว่ารูป Headshot เป็นยังไง
ขนาดผมเห็นแค่รูปผมยังอยากจะรู้เลยครับว่าคนๆนี้เขามองผมแบบนี้เพราะอะไร? ต้องการอะไร? ผมก็เลยต้องอ่านครับถึงจะเข้าใจว่า “คนๆนี้เขาทำเงินได้ 2 เท่าภายใน 1 ปี” โดยการใช้ App ที่ช่วยทำ Email Marketing ของ Infusionsoft
เราจะเห็นนะครับว่าจุดสำคัญที่ส่วนที่จะทำให้โฆษณาของคุณประสบความสำเร็จได้ก็คือการที่คุณทำให้ลูกค้าของคุณ “รู้สึกอยากรู้อยากเห็น” (Curious) ให้ได้ครับ ถ้าทำได้แล้วค่อยมาห่วงเรื่องอื่น เช่น Headline คำอธิบายโฆษณา CTA (ปุ่ม) และอย่างอื่นครับ
กลยุทธ์ #14:ใช้รูปที่สื่อถึงอารมย์
คนเราเรียกได้ว่าเป็น Emotional Being ครับหรือว่าเป็นสัตว์ที่ทำอะไรด้วยอารมณ์ครับ หลายๆคนอาจจะคิดว่าตัวเองเป็นคนที่มีเหตุผลแต่จริงๆแล้วเราใช้อารมณ์ในการตัดสินใจทั้งสิ้นครับ 95% ของการตัดสินใจทั้งหมดมาจากอารมณ์
ลองคิดดูสิครับว่าทำไมโฆษณาของบริษัทพวกประกันถึงได้มีผลต่อเราเยอะจัง เพราะมันดูแล้วซึ้งไงครับ ดูแล้วร้องไห้ตามเลยก็มี
มันทำให้เรารู้สึกผูกพันธ์ และเชื่อใจบริษัทนั้นไปด้วยครับ อย่างเช่นโฆษณาข้างล่างเป็นต้นครับ
โฆษณาอะไรที่เกี่ยวกับอารมณ์ หรือสื่อถึงอารมณ์ได้ดีจะได้เปรียบกว่าโฆษณาอื่นแน่นอนครับ เราลองมาดูกันครับว่าโฆษณาใน Facebook อันไหนบ้างที่สื่อถึงอารมย์ได้ดี
ดูจากโฆษณา Facebook ข้างล่างนี้กันเลยครับ
อันนี้เป็นโพสนะครับไม่ใช่โฆษณา แต่ก็สื่อถึงอารมณ์ได้ดีมากครับ ถือว่าเป็นรูปโฆษณาที่ดีมากเลยทีเดียวครับ
โฆษณาอีกตัวหนึ่งครับ
เขาใช้รูปของผู้หญิง 2 คนเพื่อสื่อให้เห็นว่าผู้หญิงสองคนนี้มีความสุขครับ สมองเราอาจจะคิดว่า “เห้ย มีความสุขอะไรฟะ? ไหนดูหน่อยสิ” ทำให้เราเกิดความอยากรู้อยากเห็น แล้วเราก็เลยมาอ่านว่าโฆษณานี้มันคืออะไรกันแน่
อีก 1 โฆษณาครับ
เป็นโฆษณาที่สื่อให้เห็นถึงความรักของพ่อกับลูกตัวน้อยครับ แต่ถ้าอ่านจริงๆแล้วโฆษณาไม่ค่อยเกี่ยวอะไรกับรูปโฆษณาเลยครับ ฮ่าๆ โฆษณาดันไปเกี่ยวกับการแชร์ความลับใน Whisper แบบไม่บอกตัวตนซะงั้น
โพสที่มีคนอ่านเยอะที่สุด:
- จาก 2 ถึง 4,227 ไลค์ (ละ ฿0.11) ทำยังไงมาดูกัน (โฆษณา Facebook)
- 87 สถิติที่คุณต้องรู้ (ถ้าทำโฆษณาใน Facebook)
- 43 ตัวอย่างโฆษณา Facebook ที่ (เจ๋งจนต้องร้องขอชีวิต) สำหรับปี 2018
- โฆษณา Facebook: 21 ไอเดียเจาะกลุ่มลูกค้าเด็ดๆ (ที่คุณอาจคิดไม่ถึง)
- Facebook Ads vs. Adwords อันไหนเหมาะกับธุรกิจคุณมากกว่ากัน?
เสร็จแล้วค๊าบ!
ผมหวังว่าวันนี้คุณจะได้ความรู้ไปอย่างหนักแน่นและผมหวังอีกอย่างหนึ่งก็คืออยากให้คุณนำกลับไปใช้กับโฆษณาของคุณจริงๆครับ ผมมั่นใจเลยว่าถ้าโฆษณาของคุณตอนนี้ยังไม่ได้ผลดีเท่าไหร่ แล้วเอาคำแนะนำของผมไปใช้ คุณจะเห็นถึงความเปลี่ยนแปลงแน่นอนครับ
วันนี้เราเรียนรู้อะไรไปบ้าง
- ทำให้ลูกค้าหยุดมอง — อันนี้คือข้อสำคัญที่สุดครับเพราะว่าถ้าลูกค้าไม่หยุดมอง โฆษณาของคุณก็ไม่มีประโยชน์ครับ เพราะฉะนั้นตอนทำโฆษณาก็ต้องลองกลับไปคิดก่อนครับว่า “ทำยังไงดีให้ลูกค้าหยุดมองโฆษณา ตรูดี?”
- ความอยากรู้อยากเห็น — อย่างที่บอกไปครับ ความอยากรู้อยากเห็นคือสิ่งที่จะทำให้คนคลิกโฆษณาของคุณครับ เพราะว่าคนเราจะรู้สึกไม่สบายใจถ้าได้ข้อมูลมาแค่ครึ่งๆกลางๆ
- สีสำคัญมากๆ — การเลือกสีโดยเฉพาะสีที่ฉูดฉาดจะเป็นอะไรที่ทำให้โฆษณาของคุณมีคนหยุดมองครับ ไม่สีจืดๆธรรมดา อาจจะไม่มีคนสนใจเลยก็ได้ครับ
ถ้ามีคำถามอะไร ถามผมมาได้เลยนะครับ ผมจะพยายามตอบทุกๆคำถามให้ดีที่สุดครับผม
โชคดีและขอให้รวยๆๆๆๆครับ!
Joe Jitnarin
Latest posts by Joe Jitnarin (see all)
- วิธีหาคีเวิร์ดทำโฆษณา Google Ad แบบจัดเต็ม! - May 17, 2020
- วิธีทำโฆษณาใน Gmail แบบง่ายๆ งบไม่เยอะ (Step-by-step) - May 16, 2020
- ใช้ Facebook Messenger ยังไงให้มันโดน (คำแนะนำส่วนตัว) - May 14, 2020
Leave a Comment