25 เทคนิคเอาไป optimize โฆษณา Facebook ของคุณ (+ กำไร 10x)

วันนี้ผมเลยอยากจะมาพูดถึงเรื่องการทำ Optimization ให้กับโฆษณาของคุณครับ ผมมั่นใจครับว่าหลายๆคนก็คงทำเป็นแล้ว แต่ที่ขาดเลยก็แค่ไอเดียว่าทำยังไงดีมากกว่าครับ
ในบทความนี้ คุณจะได้ไอเดียที่คุณจะสามารถไปปรับใช้กับโฆษณาเฟสบุ๊คของคุณได้เลยครับ โดยที่คุณไม่ต้องคิดอะไรมาก เพราะว่าผมเชื่อว่าคุณยุ่งๆอยู่แล้ว คงไม่มีเวลามาดู data ทั้งวันอย่างผมหรอกครับ ฮ่าๆ
เพราะฉะนั้นเรามาเริ่มที่ตัวแรกกันเลยดีกว่าครับ
บทความนี้มีอะไรบ้าง
วิธีที่ #1: เปลี่ยนให้ตัวสินค้าดูใหญ่ขึ้น
บางทีคนไม่ยอมคลิกโฆษณาของคุณเพราะว่าตัวสินค้ามันดูเล็กไปแล้วดูยากครับ กลุ่มลูกค้าอาจจะขี้เกียจที่จะเปิดดู ดังนั้นลองเปลี่ยนรูปที่มีตัวสินค้าใหญ่กว่าเดิมและสังเกตว่ากลุ่มเป้าหมายของคุณจะมีปฎิกิริยาแตกต่างจากเดิมหรือเปล่า

อย่างที่เห็นในตัวอย่างนะครับว่า Dollar Shave Club เขาใช้รูปสินค้าของเขาใหญ่มากเลยครับ ถ้าใครไม่เห็นนี้ก็คงจะตาถั่วแล้วนะครับเนี้ย 555+
มาดูสินเว็บที่เห็นใช้รูปสินค้าเล็กกันเลยดีกว่าครับ
ผมเห็นแล้วผมอยากจะออกเลยครับ เพราะว่ามันไม่ค่อยเห็นครับ และอีกอย่างผมไม่อยากที่จะกดเข้าไปดูด้วยเพราะฉะนั้นผมเลยกดออกดีกว่าครับ
ส่วนตัวผมแล้ว ผมจะชอบใช้รูปสินค้าให้ใหญ่แล้วดูง่ายไว้ก่อนครับ เพราะสังเกตจากทุกๆบล็อกที่ผมทำ ทุกๆธุรกิจที่ผมมี ผมจะใช้ตัวหนังสือใหญ่และรูปใหญ่ไว้ก่อนครับ เพราะว่าตามประสบการณ์ของผมแล้ว มันได้ผลที่สุดครับ
วิธีที่ #2: เลือกรูปสินค้าที่มีสีเด่น
ลองนึกถึงตอนที่คุณกำลังเลื่อนดูหน้า feed ของคุณไปมั่วๆ ว่ามีอะไรน่าสนใจดูบ้าง คุณจะเห็นใช่ไหมครับว่ามันมีอะไรให้ดูเต็มไปหมด ถ้ารูปสินค้าของคุณไม่มีสีเด่นออกมา คงไม่มีใครหยุดดูครับ

อย่างที่ผมเคยบอกไปในหลายๆ บทความครับว่าคุณไม่ได้แข่งกับแค่โฆษณาอื่นเท่านั้นใน Feed ของกลุ่มเป้าหมายคุณ คุณแข่งกับรูปเพื่อนของเขา, คลิปตลกๆ หรือ คลิปเด็ดๆ จาก Youlike, หรือเพจอื่นที่เขาไปกดไลค์มาครับ
เพราะฉะนั้นถ้าโฆษณาของคุณดูน่าเบื่อ คงไม่มีใครอยากจะหยุดดูครับ เลื่อนผ่านไปเลยง่ายกว่า จริงไหมครับ?
วิธีที่ #3: เลือกรูปที่มันเตะตา
คนเขาจะหยุดดูโฆษณาของคุณหรือเปล่าอย่างน้อย 80% ขึ้นอยู่กับรูปโฆษณาของคุณครับ นอกจากรูปของคุณจะต้องมีสีฉูดฉาดแล้ว ยังต้องน่าดูและเตะตาด้วยครับ
ลองนึกถึงตอนที่คุณเลื่อนๆ ลง Feed ของคุณดูนะครับ คุณคิดว่ารูปประมาณไหนที่ทำให้คุณหยุดดูบ้างครับ? นั้นแหละครับคือรูปที่เตะตาคุณ

ถ้าใครที่เป็นคนกินคลีนอยู่แล้ว เลื่อนลงมาเจอโฆษณานี้ผมมั่นใจครับว่าต้องหยุดดู ขนาดผมไม่กินคลีนผมยังหยุดอ่านเลยครับ เพราะมันดูน่ากิน ฮ่าๆ
วิธีที่ #4: เนื้อหา text สั้นและน่าสนใจ
ถ้าธุรกิจของคุณเป็นธุรกิจที่ต้องใช้คำอธิบายเยอะ อันนี้ก็พอที่จะหยวนๆกันได้ครับ แต่ถ้าเป็นสินค้าทั่วไป ผมแนะนำให้ใช้คำอธิบายโฆษณาให้น้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ครับ
เพราะว่าคนส่วนใหญ่ถ้าไม่สนใจโฆษณาจริงๆ เขาไม่มาเสียเวลาอ่านหรอกครับ เพราะว่าคนส่วนใหญ่ที่อยู่เฟสบุ๊คเขาเบื่อครับ เขาอยากจะดูอะไรตลกๆ
ดูตัวอย่างข้างล่างนี้ครับ

เห็นไหมครับว่าบริษัท Nike เขาใช้คำอธิบายโฆษณาเขาน้อยมากครับ เขาไม่ได้บอกเลยว่ารองเท้านี้ดียังไง ทำจากอะไร หรือแม้แต่ราคาเท่าไหร่ครับ
เขาเน้นจะให้คนเข้าไปในเว็บของเขาเพื่อไปดูเพิ่มเติมมากกว่าครับ พอจะเห็นภาพใช่ไหมครับ?
วิธีที่ #5: เลือกกลุ่มลูกค้าใหม่
บางทีที่โฆษณาคุณยังไม่ได้ผลเท่าที่ควรก็อาจจะเป็นเพราะว่ากลุ่มลูกค้าที่คุณเจาะจงอยู่นั้นไม่สนใจโฆษณาของคุณหรือไม่ก็มีอีกกลุ่มหนึ่งที่ไม่กดคลิกโฆษณาของคุณ
ผมแนะนำให้ลองใช้กลุ่มลูกค้าใหม่ดูครับ ลองสัก 2–3 วันแล้วดูว่าเป็นยังไง ไอเดียเลือกกลุ่มลูกค้า: โฆษณา Facebook: 21 ไอเดียเจาะกลุ่มลูกค้าเด็ดๆ (ที่คุณอาจคิดไม่ถึง)

อย่าไปสนเจ้าตัว Relevance score มันมากนักครับ เพราะตามประสบการณ์ผมแล้ว มันไม่ได้มีประโยชน์หรือมีผลอะไรมากครับ โฆษณาของคุณแพงบางทีอาจจะไม่เกี่ยวกับ Relevance score ของคุณเลยก็ได้ครับ
เพราะฉะนั้นลองกลุ่มเป้าหมายใหม่สักหน่อยแล้วดูว่าเป็นยังไงครับ วิธีหากลุ่มเป้าหมายใหม่สามารถอ่านได้ในบทความนี้เลยครับ: อย่าเพิ่งสร้างโฆษณาเฟสบุ๊ค ถ้ายังไม่รู้ว่า Audience insights ใช้ยังไง!
วิธีที่ #6: เลือกตัว CTA ให้ถูก
อันนี้อาจจะดูง่ายๆครับ แต่เชื่อไหมครับว่าหลายๆคนลืมหรือไม่คิดว่าสำคัญ จริงๆแล้วมันสำคัญมากครับ ถ้าคุณอยากให้ลูกค้าซื้อเลยหลังจากกดโฆษณาก็ใส่คำว่า “shop now” เป็นต้นครับ

ตัว CTA ที่ผมใช้แล้วได้ผลที่สุดก็คือตัว “Learn More” เหมือนที่ Starbucks ใช้นี้แหละครับ เพราะอย่างที่ผมบอกไปก็คือขายของในเฟสบุ๊คไม่สามารถใช้ hard sale ได้ครับ เพราะฉะนั้นผมเลยต้องใช้คำว่า “learn more” มากกว่าคำว่า “ซื้อเลย” ครับ
แต่จริงๆแล้วคุณควรทดลองทำ A/B testing ดูนะครับว่าอันไหนได้ผลดีกว่ากันสำหรับคุณ
วิธีที่ #7: เปลี่ยนข้อเสนอใหม่
บางทีของลดราคาอาจจะยังไม่ได้ผลพอ ลองเอาของฟรีมาล่อดูครับ เพราะหลายๆทีอาจจะแปลว่าข้อเสนอของคุณยังไม่ดีพอครับ
ต้องลองเปลี่ยนดูว่ากลุ่มเป้าหมายของคุณต้องการอะไรจากโฆษณาของคุณ

คนในแต่กลุ่มเป้าหมายเขามีความต้องการไม่เหมือนกันครับ กลุ่มเป้าหมายนี้อาจจะไม่สนใจ sale หนักๆก็ได้ อยากจะได้แต่ของดีๆ แพงๆ ไปเลยก็มีครับ
หรือไม่ก็อาจจะลองเปลี่ยนจาก “ฟรี” เป็นเงินเล็กๆน้อยๆ เช่น ” 1 บาท ” อะไรแบบนี้เป็นต้นครับ เพราะว่าถ้าเราใช้ราคา 0 บาท สินค้าจะถูกมองว่าไม่มีคุณค่าครับ
วิธีที่ #8: จับตาดู frequency
Frequency คือตัวที่บงบอกว่ากลุ่มลูกค้าของคุณเห็นโฆษณาคุณมากี่รอบแล้ว ถ้าคุณตั้ง frequency เยอะเกิน เช่น 10 รอบ คุณก็อาจจะเสียตังฟรีๆ เพราะบางคนไม่ว่าจะโฆษณายังไง เขาก็ไม่สนใจครับ
เจ้าตัว Frequency นี้ทำให้คนเสียตังโดยไม่รู้ตัวมาเยอะต่อเยอะแล้วครับ เพราะฉะนั้นคุณต้องลองไปเช็ค Frequency ตอนนี้ของคุณดูครับ

ถ้าจะให้ดี ผมแนะนำให้ค่า Frequency ต้องไม่ควรจะเกิน 3 ครั้งต่อคนครับ เพราะถ้าเกินกว่านี้คุณก็พอจะมั่นใจแล้วว่ากลุ่มเป้าหมายที่เห็นโฆษณาของคุณนั้นไม่ว่าจะเห็นอีกสักกี่ครั้งก็คงจะไม่คลิกหรือทำอะไรหรอกครับ
พอจะเห็นภาพใช่ไหมครับ?
วิธีที่ #9: เจาะจงคนที่เพื่อนเขาชอบเพจคุณ
คนเราจะเชื่อคำแนะนำของเพื่อนมากกว่าคำแนะนำของโฆษณา เพราะฉะนั้นถ้าคุณเจาะจงคนที่เพื่อนเขาชอบเพจคุณอยู่แล้ว Facebook จะแสดงชื่อของเพื่อนคนนั้นขึ้นมาครับ
หน้าตาเป็นแบบนี้เลยครับ

มันจะช่วยทำให้โฆษณาของคุณดูมีความน่าเชื่อถือมากยิ่งขึ้นครับ การเพิ่มความน่าเชื่อถือแบบนี้เราเรียกว่า “social proof” ครับ หรือการที่เขาเห็นว่าคนอื่นใช้สินค้าหรือบริการของคุณมาก่อนแล้ว และเขาก็ทำตามครับ
เพราะฉะนั้นการเจาะจงเพื่อนของคนที่ชอบเพจคุณอยู่แล้ว จะมีความน่าเชื่อถือมากกว่าเจาะจงคนแบบทั่วไปมั่วๆครับ
วิธีที่ #10: ใช้เวลากดดัน
อย่าลืมบอกลูกค้าครับว่าส่วนลดหรือคูปองที่คุณให้จะหมดภายในกี่วัน และถ้าถึงวันนั้นต้องหมดจริงๆนะครับ เพราะไม่งั้นคุณจะเสียความน่าเชื่อถือไปเลย ส่วนใหญ่บริษัทชอบหลอกลูกค้าแบบนี้ครับ แล้วคนเขาก็ไม่เชื่อว่ามันจะหมดเวลาจริงๆ

การทำแบบนี้ได้ประโยชน์เพราะว่ากลุ่มเป้าหมายส่วนใหญ่จะไม่อยากทำอะไรจนกว่าจะถึงวินาทีสุดท้ายจริงๆครับ เพราะฉะนั้นถ้าคุณใช้เวลามากดดัน กลุ่มเป้าหมายอาจจะอยากกดเพื่อเข้ามาดูทันที แทนที่จะรอจนกว่าเขาหายขี้เกียจครับ
วิธีที่ #11: ใส่ตัว CTA เข้าไปในรูปโฆษณาด้วย
บางที่จะใส่แค่ตัว “read more” หรือ “shop now” ที่มุมขวาอย่างเดียวก็ไม่ได้ อีกทางหนึ่งก็คือใส่เข้าไปในตัวโฆษณาเลยครับ

เพราะว่าการใส่เข้าไปในโฆษณาเลยเราจะสามารถเลือกสีตามใจชอบของเราได้ครับ แทนที่เราจะได้แค่สีขาวเทาๆหน่อยของ Facebook
เราสามารถเลือกใส่สีอะไรก็ได้ ตอนนี้ Facebook ยังยอมให้ทำแบบนี้อยู่ครับ ผมหวังว่า Facebook จะไม่เปลี่ยนกฎเร็วๆนี้ครับ ฮ่าๆ
วิธีที่ #12: ใช้เทคนิคเลี่ยงความสูญเสีย
คนเราหลักๆเลยจะมีอยู่ 2 อย่างครับ อยากได้ กับ กลัวเสีย ใช่ไหมครับ? เรามาใช้เทคนิคเลี่ยงความสูญเสียเพื่อทำให้ลูกค้ากลัวสักหน่อยเพื่อจะได้ความสนใจครับ
- ซื้อ……. ก่อนคู่แข่งของคุณ
- ซื้อ….. ก่อนจะเกิดอุบัติเหตุก่อน
- ทำประกันตอนเป็นมะเร็งจะได้ไม่ต้องหมดตัว
เป็นต้นครับ

เทคนิคนี้คล้ายๆกับเทคนิคใช้เวลากดดันครับ เพราะกลุ่มเป้าหมายจะคิดว่าถ้าเขาไม่กดตอนนี้หรือไม่กดโฆษณานี้เขาจะเสียอะไรสักอย่างครับ
เพราะฉะนั้นการใช้เทคนิคนี้จะช่วยกดดันให้เขารีบกดเข้ามาดูได้ครับ
วิธีที่ #13: เน้นหัวข้อ (headline) เป็นพิเศษ
ส่วนที่ 2 ที่กลุ่มลูกค้าของคุณจะดูก็คือหัวข้อใช่ไหมล่ะครับ? มันสำคัญเป็นอันดับสองรองจากรูปโฆษณาของคุณเลยครับ เพราะฉะนั้นใช้เวลาเขียนมันดีๆหน่อยนะครับ
คุณอาจจะลองเขียนมาสัก 2–3 อันแล้วมาดูว่าอันแล้วก็ลองรันโฆษณาดูว่าอันไหนกลุ่มลูกค้าคุณชอบที่สุด

คนส่วนใหญ่ที่กดคลิกโฆษณา Facebook จะดูอยู่แค่ 2 อย่างครับ
- รูปโฆษณา
- อ่านหัวข้อโฆษณา
เท่านั้นเองครับ เพราะฉะนั้นถ้าคุณทำได้ทั้ง 2 อย่างที่ดี คุณก็ชนะไปแล้วมากกว่า 60% ครับ แล้วอีก 40% คุณสามารถอ่านบทความนี้เพื่อเติมเต็มได้ครับ: วิธีทำโฆษณา Facebook วันละ 99 บาท แต่ได้ผลจริง (เหมาะสำหรับคนเริ่มใหม่)
วิธีที่ #14: ใช้คำง่ายๆ
ผมเข้าใจนะครับว่าหลายๆบริษัทอยากจะได้ความน่าเชื่อถือก็เลยใช้คำซะยากเชียว เอาจริงๆแล้วถ้าคุณมั่นใจว่ากลุ่มลูกค้าของคุณเขาใช้คำพูดพวกนี้คุยกันตลอดก็ไม่มีปัญหาครับ แต่ถ้าไม่ อันนี้คุณควรจะเปลี่ยนการใช้ภาษาให้เป็นคำง่ายๆแทน

เพราะว่าเราไม่ได้อยู่ในสมัยที่ว่าบริษัทต้องเป็นบริษัทที่พูดแล้วน่าเชื่อถือและต้องใส่สูตอีกต่อไปแล้วครับ ตอนนี้ผู้บริโภคต้องการแบรนด์ที่สามารถเข้าถึงเขาได้มากกว่าครับ
ดูตัวอย่าง KFC ตอบลูกค้าสิครับ
จะเห็นว่า KFC ไม่ได้ตอบลูกค้าแบบเป็นทางการมากนัก เหมือนจะเป็นแค่การพูดกับเพื่อนอะไรแบบนี้มากกว่า แต่ก็ไม่ได้เสียมารยาทอะไรครับ
วิธีที่ #15: ลองใช้คำเชิงลบ
คล้ายๆกับเทคนิคการหลีกเลี่ยงความสูญเสีย คำพูดเชิงลบก็อาจจะทำให้คุณได้คลิกและยอดขายมากขึ้นก็ได้ครับ
คุณต้องลองไปทดสอบกับโฆษณาของคุณดูครับ มาดูตัวอย่างกันครับว่าเป็นยังไง

โฆษณานี้ใช้ทั้งคำในด้านลบและใช้รูปที่น่าสนใจด้วยครับ ส่วนตัวผมแล้ว ผมเห็นว่าการใช้คำในเชิงลบจะปลุกความอยากรู้อยากเห็นในกลุ่มเป้าหมายได้ครับ เพราะผมก็ใช้บ่อยในโฆษณาของผมเหมือนกัน
วิธีที่ #16: ใช้เทคนิคมีสินค้าจำกัด
ลองใช้เทคนิคนี้เพื่อกดดันลูกค้าครับ เพราะว่าลูกค้าหลายๆคนถ้าเห็นว่าสินค้าจะซื้อเมื่อไหร่ก็ได้จะขี้เกียจซื้อตอนนี้
แต่ถ้าเห็นว่าสินค้ามีจำนวนจำกัดเมื่อไหร่ละก็ ลูกค้าจะรู้ครับว่าต้องรีบซื้อ “ตอนนี้”

ผมอยากจะบอกนิดหนึ่งนะครับว่าถ้าคุณอยากจะให้ลูกค้าเชื่อว่าคุณมีสินค้าเหลือแค่นี้จริงๆ ให้คุณเลือกว่าคุณจะใช้เวลาลงโฆษณานานเท่าไหร่ครับ ถ้าถึงเวลาแล้วให้หยุดโฆษณาทันที
ถ้าคนที่เขาไม่สนใจที่จะซื้อ ต่อให้เหลืออันสุดท้ายเขาก็ไม่ซื้อครับ ต่อให้ลดเหลือแค่ 1 บาทเขาก็ไม่ซื้อครับ
วิธีที่ #17: ลองใช้ video แทนรูปนิ่ง
สมองคนเราจะแปลรูปได้เร็วมากครับ 1 รูปจะมีค่าพอๆกับคำ 60,000 คำ แต่ถ้ายิ่งเป็นวิดีโอนี้ยิ่งดีไปกันใหญ่ครับและช่วงหลังๆ Facebook พยายามอยากจะให้คนใช้ video มากขึ้นในการทำโฆษณาครับ
เพราะฉะนั้นการใช้วิดีโอคุณจะสามารถได้เปรียบกว่าคู่แข่งของคุณแน่นอนครับ

ผมแนะนำนิดหนึ่งนะครับว่าถ้คุณใช้วิดีโอ ผมอยากจะให้คุณใส่ subtitle เข้าไปด้วยครับ เพราะว่าคนที่ดูวิดีโอใน Facebook ส่วนใหญ่ เขาแค่เลื่อนผ่านลงมาเฉยๆครับ ส่วนใหญ่ไม่ได้เปิดเสียงฟัง
เพราะฉะนั้นถ้าคุณมีคำพูดหรืออะไรใน video ด้วย คุณควรจะใส่ subtitle เข้าไปด้วยครับ
วิธีที่ #18: อย่าเอาอะไรใกล้ปุ่ม CTA
ปุ่ม CTA คือปุ่มที่จะบอกกับกลุ่มเป้าหมายของคุณว่าเขาควรจะทำอะไรต่อครับ เพราะฉะนั้นคุณไม่ควรจะเอาคำพูดหรืออะไรไปอยู่ใกล้ๆปุ่มนั้นครับ
เพราะว่ามันจะดึงดูดความสนใจออกไปจากตัว CTA ของคุณได้ครับ

ถ้าคุณอยากจะเอาอะไรใส่เข้าไปจริงๆ ผมแนะนำให้เป็นลูกศรชี้ไปหาตัว CTA ครับ ประมาณว่า “กดตรงนี้เลย” อะไรแบบนี้ครับ
ถ้านอกจากนั้นควรจะไม่ใส่อะไรเลยจะดีกว่าครับ
วิธีที่ #19: ใช้หลายๆรูป (คุณภาพดี)
สำหรับร้านที่ขายของที่มีรูปเยอะๆ ผมแนะนำให้ลองเข้าไปดูโฆษณาแบบ Carousel ดูครับ เพราะว่าโฆษณาแบบนี้คุณจะสามารถใส่รูปเข้าไปได้หลายรูปได้ครับ
ตัวอย่างครับ

มันจะได้เปรียบที่ว่าโฆษณาของคุณจะไม่น่าเบื่อเหมือนโฆษณาทั่วไปครับ เพราะกลุ่มเป้าหมายของคุณสามารถคลิกเลื่อนไปมาได้ด้วย
ผมแนะนำให้คุณอ่านบทความนี้เกี่ยวกับโฆษณาแบบ carousel ที่ผมเขียนเอาไว้ครับ: Carousel ads โฆษณาเลื่อนได้เพิ่มยอดขาย!
วิธีที่ #20: ใส่ sticker ลดราคาให้เตะตา
อย่างที่ผมบอกว่าโฆษณาของคุณจะไปแข่งแย่งกว่าสนใจจากเพจ Youtube, รูปหรือวิดีโอตลกๆ ถ้าคุณอยากจะให้ลูกค้าคุณสังเกตโฆษณาของคุณ ใส่ sticker ลงในโฆษณาและทำให้มันเตะตาไปเลยครับ

แต่คุณต้องระวังกฎตัวหนังสือ 20% ของโฆษณาของ Facebook นะครับ พยายามอย่าให้ตัวหนังสือของคุณเยอะกว่า 20% ครับ ไม่อย่างงั้น Facebook จะไม่ค่อยอยากจะรันโฆษณาของคุณครับ
วิธีที่ #21: ใช้รูปคนในโฆษณา
แทนที่จะใช้รูปสินค้าลองใช้เป็นรูปคนดูครับ เพราะว่ารูปคนส่วนใหญ่แล้วจะให้อารมย์อีกแบบหนึ่งให้กับกลุ่มเป้าหมายครับ
เขาอาจจะรู้สึกว่าเขาเข้าถึงแบรนด์ของคุณมากกว่าก็ได้ครับ

หลายๆคนที่ใช้ Facebook คงจะคุ้นเคยกับรูปคนอยู่แล้วนะครับ ไม่ว่าจะเป็นจากเพื่อนหรืออะไรก็แล้วแต่ครับ คงจะคุ้นอยู่แล้ว
วิธีที่ #22: ลงท้ายราคาด้วยเลข 9
หลายๆคนคงจะรู้ข้อนี้อยู่แล้วนะครับ แต่ผมมั่นใจว่าจะยังมีคนพลาดอยู่ เพราะฉะนั้นผมเลยอยากจะเตือนความจำอีกนิดหนึ่งครับ ฮ่าๆ

ถ้าคุณคิดว่าเลข 9 มันดูน่าเบื่อเพราะว่าใครๆก็ใช้กัน ลองใช้เลข 7 ดูนะครับ สำหรับผมแล้ว มันก็ได้ผลพอๆกันครับ ไม่ได้แย่อะไร
วิธีที่ #23: ทดลอง A/B ตัวโฆษณา
ใครที่ยังไม่คุ้นกับคำว่า ทดลอง A/B, พูดกันง่ายๆเลยมันก็คือการที่เอาโฆษณาหลายๆตัวมาลองดูว่าอันไหนได้ผลดีที่สุดจากกลุ่มลูกค้าครับ
ตัวอย่างครับ

คุณลองทำโฆษณามาสัก 2–3 ตัวครับ ดูว่าอันไหนได้ผลดีที่สุดแล้วก็ค่อยมาตัดเหลืออันเดียวทีหลังครับ เพราะถ้าคุณไม่ทดลองดูก็คงไม่รู้ครับว่าอันไหนจะเป็นอันที่ดีที่สุด
วิธีที่ #24: เปลี่ยนที่โฆษณา
บางโฆษณาอาจจะไม่ค่อยได้ผลเท่าไหร่ถ้าเอาลงแค่ใน Feed บางอันอาจจะได้ผลดีมากกว่าถ้าอยู่ sidebar เพราะฉะนั้นลองเปลี่ยนดูครับ

บางทีการโฆษณาแต่ใน feed อาจจะไม่ได้ผลดีที่สุดเสมอไปครับ เพราะหลายๆทีการทำ remarketing ผมก็เห็นว่าโฆษณาที่อยู่ขวามือจะได้ผลมากกว่านะครับ
และส่วนใหญ่จะมีราคาถูกกว่าโฆษณาใน Feed ด้วยครับ
วิธีที่ #25: เปลี่ยน target เพศ
ผมเคยเจอบางโฆษณาที่เหมือนที่เป็นโฆษณาที่ผู้ชายน่าจะชอบ แต่รันโฆษณายังไงก็ไม่เห็นมีคนตอบรับดีเท่าที่ควร คราวนี้เปลี่ยนเป้าหมายเป็นผู้หญิงทีเดียว โฆษณาได้รับผลตอบรับดีขึ้นกระทันหันเลยครับ

สินค้าหลายๆตัวที่ผมคิดว่าจะมีแค่ผู้หญิงชอบอย่างเดียวกลับกลายเป็นว่าผู้ชายก็ซื้อด้วยเหมือนกันครับ ถ้าคุณเริ่มโฆษณาใหม่ๆ ผมแนะนำให้ปล่อยให้เป็นทั้งหญิงและชายเลยนะครับ เพราะว่าคุณจะสามารถมาดูทีหลังได้ว่าเพศไหนที่โฆษณาของคุณเข้าถึงได้มากกว่ากัน
ตาคุณแล้วครับ!
คุณอ่านมาได้เยอะขนาดนี้แล้ว ผมมั่นใจครับว่าคุณก็คงอยากจะลองเอาไปใช้กับโฆษณาของคุณแล้ว อย่าลืมนะครับว่าการโฆษณาคือการทดลองครับ
ลองนึกว่าตัวคุณเป็นนักวิทยาศาสตร์ และกำลังทดลองโฆษณาของคุณเพื่อดูว่าโฆษณาตัวไหนได้ผลลัพท์ที่ดีที่สุดครับ
บางทีตัวที่ได้ผลลัพท์ที่ดีที่สุดอาจจะไม่ใช้ตัวที่คุณคิดว่าจะได้ก็ได้ครับ เพราะฉะนั้นคุณต้องลองเอาไปทำดูกับโฆษณาของคุณครับ
โพสต์ที่คนอ่านเยอะที่สุด:
- โฆษณา Facebook แค่ไลค์ละ ฿0.20 ทำยังไงมาดูกัน (Case Study)
- 25 เทคนิคเอาไป optimize โฆษณา Facebook ของคุณ (+ กำไร 10x)
- โฆษณา Facebook: 21 ไอเดียเจาะกลุ่มลูกค้าเด็ดๆ (ที่คุณอาจคิดไม่ถึง)
- Facebook Ads vs. Adwords อันไหนเหมาะกับธุรกิจคุณมากกว่ากัน?
- 6 สาเหตุที่ทำให้ (โฆษณา Facebook) ไม่ได้กำไร (+วิธีแก้)
สำหรับวันนี้ผมขอให้คุณโชคดีและรวยๆครับผม!
- วิธีทำ SEO ให้ keywords ติดอันดับสูงๆ บน Google - September 29, 2022
- วิธีใช้ Instagram Hashtags อย่างเซียน แบบละเอียด (ฉบับเต็ม) - September 22, 2022
- Multi-Channel Online Marketing: คืออะไร ใช้เอาชนะคู่แข่งได้ไหม? - September 15, 2022
Leave a Comment