4 กฎเหล็กของจิตวิทยาที่คนทำโฆษณาใน Facebook ต้องรู้!

ถ้าเราลองมาดูๆ ผิวเผินแล้ว การทำโฆษณา Facebook ก็ไม่น่าจะยากขนาดนั้นใช่ไหมครับ จริงไหม?
- ลงรูปทำโฆษณา
- สร้างกลุ่มเป้าหมาย
- เริ่มโฆษณา
- (คนซื้อรัวๆ ???)
แต่ในประสบการณ์ของผมที่ทำโฆษณามาในโซเชียลและกูเกิ้ล ผมรู้ครับว่าการทำโฆษณาในเฟสบุ๊คมันมีอะไรมากกว่านั้นเยอะครับ
อย่าลืมนะครับว่าการทำโฆษณา คุณเอาโฆษณาให้กับคนดู ถ้าคุณอยากจะขายได้เยอะๆ คุณต้องเข้าใจเขาก่อนครับ
เหมือนคุณจะไปจีบสาวครับ คุณอยากจะซื้อของให้เขา คุณจะต้องทำยังไงให้เขาชอบของที่คุณให้ครับ?
หลักๆเลย คุณต้องรู้ก่อนใช่ไหมครับว่าผู้หญิงคนนั้นเขาต้องการอะไร และชอบอะไร มีนิสัยใจคอยังไง คุณถึงจะซื้อของให้เขาถูกครับ
ในทางของการโฆษณาก็เหมือนกันครับ ถ้าคุณอยากจะยิงโฆษณาไปหาคนที่เขาอยากจะซื้อของคุณจริงๆ คุณต้องรู้ก่อนว่าคุณควรจะยิงโฆษณาไปหาใคร และจิตวิทยาที่จะเข้าถึงเขาได้ มันต้องเป็นยังไง
ในบทความนี้เราจะมาพูดถึงเรื่องนี้กันครับ หลังจากคุณอ่านบทความนี้เสร็จ คุณจะได้เป็นคนทำโฆษณาที่เก่งขึ้นกว่าเดิมอีกครับ (สาบานเลยครับ! 555+)
บทความนี้มีอะไรบ้าง
สิ่งที่คุณจะเรียนรู้ในบทความนี้
ก่อนอื่นที่เราจะมาเข้าสู่เนื้อหากันก่อน ผมอยากจะให้คุณเข้าใจก่อนครับว่าในบทความนี้ คุณอ่านเสร็จแล้ว คุณจะได้อะไรกลับไปใช้ได้จริงบ้างครับผม
- การเข้าใจถึงกลุ่มเป้าหมายของคุณ ทำให้คุณสามารถทำโฆษณาได้โดนใจเขามากขึ้นกว่าเดิม
- สร้างความน่าเชื่อถือเพื่อลูกค้าจะอยากซื้อทันที ไม่ต้องคิดหน้าคิดหลังเยอะ
- สีที่มีผลต่อการรับรู้ข้อมูลของเรามาก และคุณจะใช้มันยังไงเพื่อที่จะทำให้โฆษณาของคุณเจ๋งขึ้นกว่าเดิม
- การใช้จิตวิทยาเพื่อส่งผลถึงอารมณ์ของกลุ่มเป้าหมาย ทำให้เขาอยากจะซื้อของคุณทันที
ถ้าคุณเห็นว่าความรู้นี้มันจะทำให้คุณได้เปรียบคู่แข่งของคุณ ผมคิดว่าคุณอ่านบทความนี้ไป คุณจะไม่เสียเวลาแน่นอนครับ
ถ้าไม่มีอะไรแล้ว เรามาเริ่มกันเลยดีกว่าครับ
สร้างความเชื่อใจกับลูกค้าของคุณ
อย่างเราๆที่ขายของออนไลน์กันเป็นหลัก เราจะรู้ว่าปัญหาหนึ่งที่คนไม่อยากจะซื้อของออนไลน์ เพราะว่า “กลัวโดนหลอก” จริงไหมครับ?
เพราะฉะนั้นการที่เราสร้างความน่าเชื่อถือ และทำให้ลูกค้าคุณเชื่อใจ มันเป็นตัวแปรระหว่างลูกค้าอยากจะซื้อของคุณกับลูกค้าอยากจะวิ่งหนีไปซื้อของร้านคู่แข่งครับ
เทคนิคหนึ่งที่ผมชอบใช้ก็คือใช้ “ความโปร่งใส” ครับ ผมจะอธิบายให้ฟังนะครับว่ามันเป็นยังไง
เอาง่ายๆเลย เทคนิค “ความโปร่งใส” ก็คือการที่ลูกค้าเห็นว่าเบื้องหลังของร้านคุณมันเป็นยังไงครับ ลูกค้าไม่อยากจะซื้อของจากร้านที่ไม่มีตัวตนหรอก จริงไหมครับ?

นี้เป็นตัวอย่างหนึ่งที่ผมชอบมากครับ นั้นก็คือการที่บริษัทใช้รูปทีมในแฟนเพจครับ เพราะว่า Flow Account เป็นโปรแกรมเกี่ยวกับการทำบัญชี (ZOZAV ก็ใช้เหมือนกันครับ ฮ่าๆ) ซึ่งฟังดูแล้ว มันเป็นโปรแกรมที่น่าเบื่อใช่ไหมครับ?
แต่ Flow Account เขาทำให้บริษัทที่เหมือนจะน่าเบื่อ เป็นบริษัทที่คนเรารู้สึกว่าเข้าถึงได้ด้วยการใช้รูปทีมครับ ตอนนี้เราเห็นว่า Flow Account ไม่ใช่แค่เว็บไซต์เฉยๆ แล้วใช่ไหมครับ? แต่เราเห็นคนอยู่เบื้องหลังครับ
สังเกตไหมครับว่าทำไมคนที่จับกล้องแล้วถ่ายตัวเองพูดถึงมีคนดู และชื่นชอบมากกว่าบริษัทใหญ่ๆ ทำรายการมาดูหรูหราครับ?

เราจะเห็นนะครับว่าช่อง Peachii ส่วนใหญ่เขาจะถือกล้องถ่ายตัวเองง่ายๆ เนี้ยแหละครับ ต้นทุนก็ไม่มีอะไรเลย นอกจากจะกินอะไรที่ต้องจ่ายครับ ไม่ต้องมีค่ากล้อง ค่าโฆษณา ค่าเช่าเวลาสัญญาณทีวี ใดๆทั้งนั้นครับ
แต่เขามีคนติดตามถึง 900,000+ คน ครับ ใน YouTube นี้ถือว่าเยอะมากๆครับ ถึงผมไม่เคยติดตามเขา แต่ผมก็เคารพเขาที่ทำออกมาให้มีคนติดตามได้เยอะขนาดนี้ครับ
ลองมาเทียบกับอีกช่องหนึ่งครับ ของ Workpoint ด้วยครับ

มีคนดูพอๆกับช่องเมื่อกี้เลยครับ แต่นี้มีรายได้ และรายจ่ายเยอะกว่าจริงๆแหละครับ แต่มีคนติดตามช่องอยู่แค่ 80,000+ คนครับ
มันบ่งบอกว่าอะไรครับ? เอาง่ายๆเลยก็คือคนอยากจะที่จะดูวิดีโอใหม่ๆ จากช่อง Peachii มากกว่าช่องของ Workpoint ใช่ไหมล่ะครับ?
อันนี้เราไม่ได้ไปดูเรื่องรายได้นะครับ เพราะเราก็คงรู้ๆว่า ช่องของ Workpoint ได้เงินจากค่าโฆษณาเยอะกว่าอยู่แล้วครับ
แต่คนรู้สึกว่า “เข้าถึง” ช่อง Peachii มากกว่าครับ เพราะว่าคนดูเขารู้สึกว่าเขาเป็นส่วนหนึ่งของวิดีโอครับ ไม่ใช่แค่คนที่ดูเฉยๆ คนรู้สึกว่าเขารู้จัก Peachii มากกว่าช่องของ Workpoint เป็นการส่วนตัวครับ
ในทางการทำโฆษณาก็เหมือนกันครับ ถ้าคุณอยากที่จะขายให้ดี อย่าทำเพจออกมาประมาณนี้ครับ

ถามใจคุณครับ ว่าถ้าคุณเห็นแบบนี้ คุณจะรู้สึกว่าคุณเชื่อถือเพจนี้ได้ไหมครับ? เห็นแว๊บแรกก็อยากที่จะกดออกแล้ว จริงไหมครับ?
คุณต้องให้ลูกค้าของคุณที่เข้ามาในเพจได้เห็นว่าคุณคือใคร และเขาสามารถเห็นแล้วเชื่อใจคุณได้ทันทีครับ

อย่างของเพจนี้ เขาทำออกมาได้ดีอยู่แล้วนะครับ เพราะว่าเขาดังใน YouTube อยู่แล้ว เพราะฉะนั้นเอาของเขาเป็นแบบอย่าง แล้วเอามาปรับเปลี่ยนให้เข้ากับเพจของคุณครับ
นี้แค่เป็นตัวอย่างเล็กๆ น้อยๆ ของการที่คุณจะทำให้ลูกค้าของคุณรู้สึกว่าคุณ “โปร่งใส” กับเขาครับ เพราะอย่างที่บอกครับ ว่าเขาไม่ได้เห็นคุณเป็นตัวเป็นตนต่อหน้า
เพราะฉะนั้น มันอาจจะยากนิดหนึ่งครับ ถ้าจะทำให้เขาเชื่อใจคุณได้จนมาซื้อของๆคุณครับ ถ้าอยากจะให้เขาเชื่อใจ คุณต้องให้เขาเห็นหน้าคุณ รู้ว่าคุณเป็นใครก่อนครับ
อารมณ์คือตัวที่สำคัญที่ทำให้ซื้อ
ผมเคยอ่านหนังสือและวิจัยเกี่ยวกับเรื่องนี้มาโดยเฉพาะเยอะเหมือนกันครับ เพราะว่าตั้งแต่ที่ผมได้ยินว่าคนเราตัดสินใจโดยขึ้นอยู่กับอารมณ์มากกว่า 90% ครับ
เราทำอะไรแต่ละวันของเรา ไม่ว่าเราจะคิดว่าเราเป็นคนที่ใช้เหตุผลมากแค่ไหน เราก็ยังใช้อารมณ์เป็นส่วนใหญ่อยู่ดีครับ
ในแต่ละวัน คุณจะตัดสินใจอะไรหลายๆอย่าง ตั้งใจวันนี้กินอะไรไปจนถึงจะดูวิดีโอไหนใน YouTube ดี คุณตัดสินใจด้วยอารมณ์ไปแล้ว แล้วค่อยเอาเหตุผลมาตอบตัวเองครับ ว่าทำไมถึงตัดสินใจแบบนั้นไป
ถ้าคุณสนใจเกี่ยวกับเรื่องนี้ ผมแนะนำหนังสือที่ชื่อว่า “Predictably Irrational” ของ Dr. Dan Ariely นะครับ จะมีเนื้อหาที่อธิบายเกี่ยวกับเรื่องนี้แบบละเอียดครับ
ถ้าคุณอยากจะให้คนซื้อของๆ คุณ คุณต้องเข้าใจว่าคุณต้องกระตุ้นอารมณ์ตัวไหนที่จะทำให้เขาอยากจะซื้อของคุณครับ
ยกตัวอย่างเลย ถ้าคุณขายผ้าอ้อมเด็ก คุณจะใช้รูปอะไรครับ? แน่นอนครับ ต้องใช้รูปเด็กน่ารักๆ ที่ใส่ผ้าอ้อมใช่ไหมครับ?
ดูอย่างแบรนด์ Babylove เขาใช้กันครับ

เห็นเด็กใส่แล้วรู้สึกดีใช่ไหมครับ? ใส่แล้วยิ้มแย้มแจ่มใส น่าจะเป็นเพราะว่าเด็กสบายตัวตอนที่ใส่ ถ้าคุณเป็นคุณแม่เด็กอ่อน คุณก็อาจจะสนใจครับ
ความคิดอะไรพวกนี้ มันไม่ได้ดังขึ้นมาในหัวเราะหรอกนะครับ แต่มันจะเกิดขึ้นภายในจิตใต้สำนึกครับ เหมือนกับเพลงของโฆษณาหลายๆเพลง ฟังแล้วไม่ชอบเลย แต่แมร่งเสือกจำได้ ถ้าเพลงขึ้นมา จำได้ทันทีเลย
เหตุผลก็เพราะว่าจิตใต้สำนึกของเรามันทำงานอยู่ครับ ถึงแม้เราไม่ได้พยายามจำ มันก็จำได้อยู่ดีครับผม
ในทางกลับกัน ถ้าคุณเห็นโฆษณาผ้าอ้อมเด็กใช้รูปนี้ เพื่อยิงโฆษณาให้คุณเห็นใน Facebook คุณจะรู้สึกยังไงครับ?

คงจะไม่ได้รู้สึกอะไรมากหรอกใช่ไหมครับ? แต่ถ้าถามว่าสนใจอยากจะซื้อไหม คงไม่อะ คงจะไปดูอีกตัวที่เด็กในโฆษณาใส่แล้วดูมีความสุขดีกว่า จริงไหมครับ?
คุณรู้ไหมครับ ว่าอารมณ์ในรูปโฆษณามันแพร่ถึงกันได้ด้วยนะครับผม?

คุณอาจจะไม่ได้รู้จักเด็กคนนี้หรอก เขาเป็นใคร อะไรยังไงคุณยังไม่รู้เลยครับ แต่คุณเห็นเด็กในรูปเขายิ้ม ถึงแม้ตอนนี้คุณไม่ยิ้ม คุณดูๆไป คุณก็อาจจะยิ้มตามได้โดยที่ไม่รู้ตัวครับ
เพราะว่าอารมณ์ที่ส่งผ่านทางรูปภาพมันสามารถแพร่ถึงคุณได้ครับ ในทางเดียวกัน อารมณ์พวกนี้ ก็จะสื่อถึงคนที่เห็นโฆษณาของคุณได้เหมือนกันครับ
ถ้าคุณรู้ว่ากลุ่มเป้าหมายของคุณเขาเป็นคนยังไง เช่น คุณแม่ที่อยากจะดูแลลูกน้อยให้ดีได้ เป็นต้น
ถ้าคุณใช้รูปที่สามารถสื่อสารถึงเขาได้ว่า ผลิตภัณฑ์ที่คุณขาย จะช่วยทำให้เขาดูแลลูกของเขาได้ดีกว่าเดิมเยอะ เขาจะรู้สึกยังไงครับ?
เขาต้องอยากที่จะอย่างน้อยๆ เข้าไปดูว่าสินค้าของคุณเป็นอะไรยังไง และเหมาะกับเขาบ้างหรือเปล่าใช่ไหมครับ?
ซึ่งการที่เขาเข้ามาดูร้านของคุณ นั้นแหละครับคือก้าวแรกที่เขาจะสั่งซื้อของจากคุณครับ
Halo Effect: 2 วินาทีแรกว่าจะซื้อดีไหม
ถ้าหลายๆคนยังไม่มั่นใจว่า Halo Effect คืออะไร ผมจะอธิบายคร่าวๆให้ฟังก่อนนะครับ ก่อนอื่นขอผมไปก็อบข้อความจาก Thaipublica.org มาให้ดูก่อนนะครับ
Halo Effect ทำให้เกิดความเอนเอียง (bias) วิจารณญาณของบุคคลหนึ่งที่มีต่ออีกบุคคลหนึ่งในภาพรวมถูกบดบังโดยลักษณะพิเศษเสียหมด ปรากฏการณ์นี้มนุษย์เผชิญอยู่โดยอาจไม่รู้ตัว และเกิดขึ้นในทุกวงการในทุกเวลา
เอาง่ายๆเลย Halo Effect คือตอนที่คุณเห็นผู้หญิงคนนี้แต่งตัวดูดี สะอาดสะอ้าน คุณก็อาจจะคิดว่า “โห แมร่ง ผู้หญิงคนนี้ต้องมีการศึกษาสูงแน่นอน” ทั้งๆที่เขาอาจจะจบแค่ ม.6 เป็นต้นครับ
แต่ของผม ผมจะเอามาปรับเปลี่ยนนิดหน่อยนะครับ จะไม่ใช่ความหมายของ Halo Effect โดยตรงครับ เพราะว่ามันไม่ตรงกับเทคนิคของผมเท่าไหร่ครับ
เหตุผลที่ผมพูดถึง Halo Effect คือตอนที่คุณทำโฆษณา ภาพลักษณ์ของคุณสำคัญมากครับ เพราะว่าภาพลักษณ์ของคุณจะสื่อถึงคุณภาพของสินค้าคุณได้ครับ
ผมยกตัวอย่างให้ดูง่ายๆนะครับ

คุณจะเห็นว่ารูปนี้เป็นรูปที่เขาแต่งขึ้นมาง่ายๆนะครับ จากที่คุณดูคร่าวๆ คุณอาจจะไม่รู้หรอกครับว่าร้านนี้เป็นร้านยังไง อาจจะเป็นร้านใหญ่ขึ้นห้างก็ได้ใช่ไหมครับ?
แต่ตอนนี้ที่เราเห็นก็คือเขาแต่งรูปออกมาเป็นง่ายๆครับ เราอาจจะมองว่าเขาเป็นร้านเล็กๆ ที่ทำรูปด้วยตัวเอง แต่ไม่ได้มีฝีมือทางด้านนี้โดยเฉพาะครับ
แต่มาดูอีกรูปหนึ่งกันครับ

ดูรูปนี้ครับ เป็นรูปที่เขาจัดขึ้นมาดีครับ ถ่ายออกมาแล้วดูสวย เป็นมืออาชีพจริงไหมครับ?
ถ้าจะให้เดาดู น่าจะมาจากเว็บที่มีคุณภาพ เป็นร้านที่มีชื่อเสียงหน่อย เพราะว่าเหมือนเขาลงทุนกับเรื่องนี้ครับ จริงไหมครับ?
แต่คุณรู้ไหมครับ ลองดูที่ตัว “Credit” ครับ ผมเอามาจากเว็บเดียวกันนะครับ ไม่ได้เอามาจากคนละเว็บเลย
คุณจะเห็นว่าเรารับรู้อะไรไม่เหมือนกัน ทั้งๆที่คุณเองก็ไม่ได้นั่งคิดหรอกครับว่า “เห้ย ร้านนี้มันดีไหมว่ะ มีคุณภาพไหม?” คุณเห็นแว๊บแรก ก็รู้เลยว่ามีคุณภาพหรือเปล่า จริงไหมครับ?
คนเรามันเป็นแบบนี้อยู่แล้วครับ ไม่ว่าคุณจะคิดยังไง ความคิดพวกนี้มันฝังอยู่กับเรามาตั้งแต่เกิดครับ
เราลองดูรูปของผู้ชายคนนี้ครับ (เหย๋า หมิง) ถ้าคุณไม่รู้อะไรเกี่ยวกับผู้ชายคนนี้เลย คุณเห็นเขาแว๊บแรก คุณจะคิดยังไงครับ?

เขาต้องเป็นจีนแน่เลยใช่ไหมครับ? น่าจะพูดภาษาไทยไม่ได้ ถ้าเขาเดินเขามาในร้านคุณ คุณจะเริ่มพูดภาษาอะไรกับเขาครับ?
ถ้าคุณพูดจีนได้ คุณก็จะเริ่มจากภาษาจีนเลยใช่ไหมครับ? มันไม่ใช่ Halo Effect นะครับ แต่สำหรับผม มันคล้ายๆกันครับ
ในแนวคิดเดียวกันครับ ถ้าเขาเห็นว่าเพจของคุณดูน่าเชื่อถือ มีรูปที่สวย ดีไซน์ดีๆ เขาก็จะมีโอกาสที่เชื่อใจคุณมากขึ้น และเร็วขึ้นครับ
เพราะฉะนั้นถ้าคุณอยากจะได้ความเชื่อใจไวๆ คุณต้องไปดูก่อนครับว่ารูปที่คุณใช้มันเป็นยังไง เขาดูแล้วเขาจะรู้สึกยังไงครับ
จำไว้นะครับ เขาใช้เวลาไม่เกิน 2 วินาทีหรอกครับ ที่สมองเขาจะคิดว่า “เอ่อ น่าซื้อนะ” กับ “กูจะเชื่อได้ไหมว่ะ ว่ามันจะเอาเงินแล้วไม่ชิ่ง”
ถ้าใครอยากจะลองค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับ Halo Effect ลองไปดูใน Wikipedia นะครับ ผมเห็นมีข้อมูลเยอะมากจนตาลายเลยทีเดียวครับ 555+
ให้ลูกค้าก่อนที่จะหวังได้กลับจากเขา
คนเราโดยทั่วๆไปแล้ว ถ้าเราได้รับอะไรจากใครแล้ว เราจะรู้สึกว่าเราอยากจะให้อะไรกลับตอบแทนให้เขา ใช่ไหมครับ?
ไม่ต้องพูดใกล้ พูดไกลเลยครับ ยกตัวอย่างเช่น ถ้าคุณไปอ่านเจอบทความอะไรดีๆ และเขาให้ความรู้กับคุณมากจริงๆ คุณก็รู้สึกว่าอยากจะให้อะไรกลับใช่ไหมครับ?
ผมจะยกตัวอย่างให้ดูครับ ผมมีพี่คนหนึ่ง ชื่อเล่นจริงๆเขาชื่อพี่เก่งครับ ชื่อในนามของเขาที่ใช้คอมเมนต์ในเว็บ ZOZAV คือ “Steve PK” ครับ
ไม่รู้เหมือนกันนะครับว่าทำไมพี่เก่งถึงใช้ชื่อนี้ ฮ่าๆ

เท่าที่เคยคุยกับพี่เขามาแล้ว พี่เก่งเขาบอกว่าเขาติดตามผมมานานแล้ว และเขาก็อ่านบทความ และได้ความรู้จากบล็อกที่ผมเขียนมาก
เขาก็เลยแค่อยากจะ “คอมเมนต์” เพื่อที่จะให้ผมได้รับรู้ได้ว่าพี่เก่งเขาชอบบทความของผม และอยากจะให้ผมเขียนต่อเรื่อยๆครับ
หลังจากคุยไปคุยมา พี่เขากลายมาเป็นลูกค้าที่ใหญ่ที่สุดคนหนึ่งในบริษัทผมเลยครับ พี่เก่งเขาใช้บริการผมขนาดที่ว่าผมสามารถจ่ายเงินให้กับทีมงานผมได้ทุกเดือน สบายๆเลยครับ

หรือแม้แต่คนที่เข้ามาบอกว่าเขาชื่นชอบผลงานของผมเองก็มีครับ เขาอยากจะช่วยแชร์เว็บของผมให้กับเพื่อนๆ ซึ่งผมดีใจมากครับผม
ก่อนที่ลูกค้าจะเชื่อใจเรา เขาต้องรู้สึกว่าเขาได้อะไรจากเราไปก่อนครับ อีกอย่างคนไทยเราส่วนใหญ่ขี้เกรงใจครับ
ผมเห็นหลายๆคนเดินเข้าไปถามซื้ออะไรที่ร้าน แล้วไม่ได้ซื้อออกมาจะรู้สึกผิดครับ ซึ่งผมเองก็ไม่รู้ว่าทำไมครับ จนมาเข้าใจว่าจริงๆแล้ว มันเป็นปกติของคนทั่วไปครับ
ถ้าเราได้อะไรจากเขา เราก็อยากที่จะให้อะไรกลับครับ เพราะฉะนั้นเขาเลยรู้สึกว่า “เขาต้องซื้ออะไรเล็กๆน้อยๆ” สักหน่อยครับ ไม่งั้นจะรู้สึกผิดเอามากๆ
อย่างถ้าคุณซื้อของออนไลน์ครับ คุณเข้าไปซื้อครีมอะไรสักอย่างมาจาก 2 ร้านค้าครับ วันนั้นของมาถึงพร้อมกัน
คุณเปิดกล่องจากแม่ค้าคนแรก คุณได้ของเป็นแบบนี้ครับ

คุณก็คงจะรู้สึกดีใช่ไหมครับ? เพราะว่าคุณได้ของอย่างที่คุณต้องการ และในเวลาที่รวดเร็ว คุณคงไม่ได้คิดอะไรมากครับ
คราวนี้คุณมาเปิดกล่องที่ได้จากแม่ค้าออนไลน์อีกคนหนึ่งครับ

คุณจะรู้สึกว่าการดูแลลูกค้าของแม่ค้าทั้ง 2 คนนี้ไม่เหมือนกันแน่นอนครับ ตัวทดลองที่เขาส่งมาให้ เขาก็อาจจะได้ฟรีด้วยครับ แต่คุณกลับรู้สึกดีที่ได้รับมันครับ
แต่ถ้าคุณอยากจะทำแบบนี้ให้สำเร็จและลูกค้ารู้สึก “คุ้ม” คุณอย่าใช้โฆษณาว่าจะแถมตัวทดลองด้วยนะครับ เพราะว่าคุณต้องเซอร์ไพรซ์เขาครับ อย่าให้เขารู้ตัว
ถึงแม้เขาไม่ได้ซื้อของจากคุณอีกรอบ แต่ถ้ามีคนถามว่า “เห้ย มึง ซื้อครีมจากร้านออนไลน์ไหนดีอ่ะ?” เขาก็จะนึกถึงคุณก่อนเป็นคนแรกแน่นอนครับ
นี้แหละครับ คือประสิทธิภาพของการที่เราให้เขาก่อนครับ
สรุปว่าต้องทำยังไงต่อดี….
การที่คุณจะขายของได้ดีขึ้น และง่ายขึ้นในโลกโซเซียลนั้นจริงๆแล้วมันไม่ได้ยาก อย่างที่คิดครับ ถึงแม้จะมีคู่แข่งเยอะก็ตามครับ
ไม่ว่า Facebook จะเปลี่ยนระบบอะไรยังไงสักกี่รอบ คุณก็อย่าไปห่วงครับ เพราะว่าถ้าคุณเข้าใจกลไกลจิตวิทยาของกลุ่มเป้าหมายของคุณแล้ว คุณรู้ว่าเขาคิดยังไง โอกาสที่คุณจะยังขายได้มันก็มีมากครับ
– โพสที่มีคนอ่านเยอะที่สุด:
- จาก 2 ถึง 4,227 ไลค์ (ละ ฿0.11) ทำยังไงมาดูกัน (โฆษณา Facebook)
- 87 สถิติที่คุณต้องรู้ (ถ้าทำโฆษณาใน Facebook)
- 43 ตัวอย่างโฆษณา Facebook ที่ (เจ๋งจนต้องร้องขอชีวิต) สำหรับปี 2018
- โฆษณา Facebook: 21 ไอเดียเจาะกลุ่มลูกค้าเด็ดๆ (ที่คุณอาจคิดไม่ถึง)
- Facebook Ads vs. Adwords อันไหนเหมาะกับธุรกิจคุณมากกว่ากัน?
อันดับแรกที่คุณต้องทำก็คือเอาคำแนะนำของผมที่ได้จากบทความนี้ลองนำไปปรับใช้ดูครับ เพราะว่ามันจะเป็นจุดเปลี่ยนระหว่างความสำเร็จ และความล้มเหลวของคุณในการขายของออนไลน์ครับผม
สำหรับวันนี้ขอให้โชคดีและรวยๆครับผม
- วิธีทำ SEO ให้ keywords ติดอันดับสูงๆ บน Google - September 29, 2022
- วิธีใช้ Instagram Hashtags อย่างเซียน แบบละเอียด (ฉบับเต็ม) - September 22, 2022
- Multi-Channel Online Marketing: คืออะไร ใช้เอาชนะคู่แข่งได้ไหม? - September 15, 2022
Leave a Comment