4 เคล็ดลับเพิ่ม CTR และประหยัดเงินโฆษณาขึ้นอย่างน้อย 30%

Facebook เป็นบริษัทโฆษณาอยู่แล้วนะครับ เพราะฉะนั้น Facebook ก็อยากให้มีคนมาคลิกโฆษณาคุณเยอะๆใช่ไหมครับ?
ถ้ามีคนคลิกน้อย Facebook ก็ต้องคิดราคาต่อคลิกที่คุณเพิ่ม เขาจะได้รู้สึกว่าคุ้มเหมือนกัน มันเลยเป็นที่มาของตัวที่เรียกว่า Relevance score ครับ
Relevance score ก็คือคะแนนที่บอกว่าโฆษณาของคุณเป็นโฆษณาที่กลุ่มลูกค้าคุณสนใจจริงหรือเปล่า ถ้าคะแนนต่ำโฆษณาคุณอาจจะถูกหยุดหรือไม่ค่าโฆษณาก็จะแพงมากครับ มันเป็นเหตุผลที่หลายๆคนบ่นว่าทำไมค่าโฆษณาแพงจัง
อ่านเกี่ยวกับ Relavance score ในบทความที่ผมเขียนไว้ได้ที่นี้ครับ: บทความ relevance score
ในบทความนี้ คุณจะได้เรียนรู้ถึงการที่คุณสามารถทำให้โฆษณาของคุณราคาถูกลงได้ครับ ถ้าคุณได้อ่านบทความนี้จนเสร็จ
ลองกลับเอาไปลองทำดูครับ ผมมั่นใจว่า 70% ของโฆษณาทั้งหมดที่ราคาแพง เกิดจากการที่ไม่ได้ใช้หรือไม่รู้จักเทคนิคพวกนี้ครับ
บทความนี้มีอะไรบ้าง
เทคนิคโคตรง่าย#1: เลือกกลุ่มเป้าหมายให้ถูก
การเลือกกลุ่มเป้าหมายเป็น 1 ใน 3 อย่างที่สำคัญที่สุดในการทำโฆษณา Facebook ครับ เพราะว่าการยิงโฆษณาไปหาคนที่สนใจโฆษณาของคุณจะทำให้คุณได้คลิกเยอะขึ้นครับ
คลิกเยอะขึ้นหมายถึงอะไรครับ? หมายถึงว่าค่า Relevance score ของคุณก็จะสูงขึ้นครับ แล้ว Facebook ก็อยากจะลดราคาให้คุณเพราะว่าคุณจะได้ใช้โฆษณานี้เรื่อยๆครับ
พอจะเห็นภาพใช่ไหมครับ?
การเลือกกลุ่มเป้าหมายให้ถูกนั้นไม่ยากครับ ถ้าคุณทำตามที่ผมบอก ลองอ่านบทความที่ผมเขียนเกี่ยวกับการทำการบ้านเกี่ยวกับกลุ่มเป้าหมายของคุณใน Audience insights tool ดูครับ
คุณจะได้เรียนรู้เกี่ยวกับกลุ่มเป้าหมายของคุณและสามารถเจาะจงได้ถูกครับ: อย่าเพิ่งสร้างโฆษณาเฟสบุ๊ค ถ้ายังไม่รู้ว่า Audience insights ใช้ยังไง!
เรามาดูการเลือกทีละอันกันเลยครับผม ว่าคุณควรจะเลือกกลุ่มเป้าหมายยังไงให้ถูกต้อง (ผมจะเขียนละเอียดในบทความที่ผมแชร์ลิ้งข้างบนเกี่ยวกับ Audience insights tool นะครับ)
การเลือกกลุ่มเป้าหมาย
เรามาดูคร่าวๆกันครับว่าการเลือกกลุ่มเป้าหมายในนี้มีเทคนิคอะไรง่ายๆ ที่คุณควรจะรู้หรือเปล่า จริงๆแล้วส่วนใหญ่ในที่นี้ Facebook จะมีระบบ auto optimize หรือ การปรับเปลี่ยนโฆษณาให้ตรงกับกลุ่มเป้าหมายให้อยุ่แล้วนะครับ
หลายๆอย่างคุณสามารถเปลี่ยนโล่งไปได้ครับ นอกจาก พื้นที่และความสนใจเท่านั้นครับ
เรามาดูกันเลยครับ

- จังหวัดและพื้นที่ — คุณต้องทำการบ้านมาก่อนนะครับว่ากลุ่มลูกค้าของคุณคือใคร หรือถ้าไม่ได้ทำมาก็ไม่เป็นไรครับ ปล่อยให้เป็น “Thailand” ไปเลยครับ แล้วค่อยมาดูทีหลังว่าจังหวัดไหนให้ผลตอบรับดีที่สุด
- อายุ — อันนี้ไม่ต้องห่วงครับ ปล่อยให้ Facebook รันโฆษณาไปก่อนเลยครับ เราค่อยมาดูว่ากลุ่มไหนได้ผลดีที่สุดแล้วค่อยเปลี่ยนทีหลัง กฎของการทำโฆษณาคืออย่าคิดไปเองครับ ให้ข้อมูลและตัวเลขเป็นคนบอกดีกว่า
- เพศ — เหมือนกับอายุครับอย่าไปเดาว่าเพศหญิงหรือชายใครจะสนใจโฆษณาคุณมากกว่ากัน ผมเคยเจอสินค้าบางตัวอย่างแหวนงี้อะครับ คิดว่าจะไม่มีผู้ชายซื้อแต่ก็มีเยอะจนน่าตกใจเลยครับ
- ภาษา — อันนี้ก็เหมือนกันครับ อย่าไปห่วงเพราะเราไม่รู้ครับว่ากลุ่มลูกค้าของเราตั้ง Facebook ให้เป็นภาษาอะไร นอกจากคุณจะ target คนที่พูดภาษาอังกฤษไม่ได้เลย อันนั้นก็ว่ากันอีกทีหนึ่ง
เจาะลึกลงไปอีกด้วย “ความสนใจ”
ถ้าร้านคุณเป็นร้านเค้ก ก็ควรจะเจาะจงคนที่วันเกิดกำลังจะมาถึงหรือเจาะจงคนที่มีคนในครอบครัวที่วันเกิดกำลังจะมาถึงครับ
คุณต้องลองพลิกแพลงดู ตัวอย่างครับ
ผมแนะนำให้คุณอ่านบทความนี้เพื่อที่จะได้ไอเดียเกี่ยวกับการเจาะจงกลุ่มเป้าหมายของคุณให้ถูกต้องขึ้นไปอีกครับ: โฆษณา Facebook: 21 ไอเดียเจาะกลุ่มลูกค้าเด็ดๆ (ที่คุณอาจคิดไม่ถึง)
เพราะบางทีคุณอาจจะรู้สึกว่าตันๆและไม่รู้ว่าจะเจาะจงอะไรยังไงต่อ บทความที่ผมแชร์ให้ข้างบนจะช่วยคุณให้ได้ไอเดียขึ้นมาได้ครับ
เทคนิคโคตรง่าย#2: ปรับแต่งโฆษณาให้น่าดูและน่าดูมากขึ้น
คนที่เล่นเฟสบุ๊คส่วนใหญ่ไม่ได้ตั้งใจเข้ามาเพื่อซื้อของ จริงไหมครับ? ส่วนใหญ่เข้ามาเพราะว่าอยากจะคลายเหงา คลายเครียด มาดูอะไรตลกๆเฉยๆครับ
และอีกอย่างคุณไม่ได้จะมาแข่งกับแค่โฆษณาของบริษัทอื่นครับ คุณต้องแข่งกับรูปเพื่อนของเขา, คลิปตลกๆ และอะไรหลายๆอย่างที่อยู่ในหน้า feed ของเขาครับ
คนส่วนใหญ่เป็นแบบนี้ครับ ตอนเห็นโฆษณา;
- เห็นรูปอะไรแว๊บๆ
- ดูรูปสัก 1–2 วิ ถึงจะเข้าใจว่าเป็นโฆษณา
- รู้สึกสนใจ อ่านข้อความในโฆษณา
- คิดตัดสินใจว่าจะยังไง จะแชร์ให้เพื่อน ไลค์ หรือว่าคอมเม้น หรือผ่านดี
เพราะฉะนั้นเราต้องมา focus ที่ 2 ตัวหลักๆเลยก็คือ รูปและข้อความโฆษณาครับ ถ้าคุณสามารถทำ 2 ตัวนี้ได้ดีแล้ว ผมรับลองเลยครับ่วากลุ่มเป้าหมายของคุณไม่ไปไหนแน่นอนครับ
วิธีการเลือกรูปภาพให้ถูกต้องและโดนใจลูกค้า ผมได้เขียนเอาไว้ในโพสก่อนแล้วนะครับ ผมแนะนำให้ลองเข้าไปอ่านแล้วทำความเข้าใจและเอามาปรับใช้ดูครับ: 5 เทคนิคเลือกรูปใส่โฆษณาเฟสบุ๊ค (จะไม่ขาดทุนอีกต่อไป)
เรามาพูดถึงข้อความโฆษณากันเลยดีกว่าครับ ว่าควรจะทำยังไงถึงจะทำให้โฆษณาของคุณดูน่าสนใจมากขึ้นครับผม
ข้อความต้องไม่ยาวเกินไป: อย่าให้ยาวเกินจนเขาต้องคลิก “อ่านต่อ” เพื่อจะเห็นข้อความทั้งหมด, 3 บรรทัดกำลังดีเลยครับ ถ้ายาวเกินไปคงไม่มีใครอยากจะอ่านครับ อย่างที่บอกครับ คนเขาเข้ามาชิว เขาไม่ได้เข้ามาเพื่อจะอ่านอะไรยาวๆครับ
นอกเสียจากว่าโฆษณาคุณจะเกี่ยวกับอะไรที่ต้องลงข้อมูลเยอะจริงๆ และคุณต้องใส่ข้อมูลเพิ่มเติม อันนี้ก็เป็นกรณีพิเศษไปครับ
เห็นตัวอย่างข้างบนที่บริษัท Jabong ได้ทำไหมครับ? อันนี้กำลังดีสำหรับบริษัทประเภทนี้ครับ เพราะว่าสินค้ามันเป็นที่คุ้นเคยกับกลุ่มเป้าหมายอยู่แล้ว ไม่ต้องมีคำอธิบายอะไรมาก
แต่ถ้าสินค้าของคุณกลุ่มเป้าหมายไม่คุ้นเคยเลย อันนี้ก็ต้องคิดกันดูอีกทีครับว่าควรจะเขียนสั้นหรือยาว ผมแนะนำให้ลองทำ A/B testing ดูครับ
ใช้ emoji เข้าไปด้วย: คนเราจะประมวลภาพได้เร็วกว่าคำพูดครับ มันเลยเป็นเหตุผลที่ emoji กำลังมาแรงในโลกโซเชี่ยวและแชททั้งหลายครับ
ลองคิดดูครับว่าบริษัทดังๆอย่าง Line งี้ดังมาจากการใช้ Sticker น่ารักๆทั้งนั้นเลยนะครับ เพราะว่าอะไรครับ? เพราะว่าคนเราชอบดูมากกว่าอ่านครับ
และการใช้ Emoji ในโฆษณาของคุณนอกจากที่จะทำให้คนมีโอกาสหยุดอ่านโฆษณาของคุณได้เยอะกว่าแล้ว ยังทำให้ค่า CTR หรือ Relevance score ของคุณเยอะขึ้นด้วยครับ (ตามประสบการณ์ผมเอง)
เพราะฉะนั้นผมแนะนำให้คุณลองใช้ emoji ในโฆษณาของคุณดูครับ ทดลองดูว่ามันได้ผลกับกลุ่มเป้าหมายของคุณหรือเปล่า เพราะว่ากลุ่มเป้าหมายแต่ละกลุ่มมีความชอบที่แตกต่างกันออกไปครับ
เทคนิคโคตรง่าย#3: ใช้ข้อเสนอดีๆมาล่อ
คนจะคลิกโฆษณาเยอะหรือไม่เยอะ มันก็ต้องขึ้นอยู่กับพระเอกตัวนี้ด้วยครับ นั้นก็คือข้อเสนอที่เราจะเอามาล่อกลุ่มลูกค้าที่ให้มากดโฆษณาของคุณครับ
คุณต้องพยายามเลือกอะไรที่เขาไม่อยากจะปฎิเสธหรือเลื่อนผ่านได้ง่ายๆครับ เช่น ถ้าเป็นผู้หญิงก็ไม่น่าจะพลาดของลด 90% ครับ หรือถ้าจะดีไปกว่านั้นอีกก็คือคุณทำการบ้านมาก่อนแล้วว่ากลุ่มเป้าหมายของคุณต้องการอะไรแล้วก็ใช้ข้อเสนอนั้นมาล่อครับ
เรามาดูตัวอย่างแรกกันเลยครับ
ตัวอย่างที่ 1:
Google เอาบัตรกำนัน $300 หรือราวๆ 9,500 บาทมาล่อครับ ในฐานะที่ผมเป็นคนซื้อโฆษณาและทำการตลาดออนไลน์หนักๆอยู่แล้ว ผมก็สนใจสิครับ
คงไม่ต้องบอกนะครับว่าผมกดเข้าไปดูโฆษณานี้หรือเปล่า ฮ่าๆ
ถ้ากลุ่มเป้าหมายอยากจะได้ข้อเสนอนี้อยู่แล้ว ถึงแม้โฆษณาของคุณจะไม่ค่อยสวยเท่าไหร่ คุณก็สามารถได้ลูกค้าใหม่ได้ครับผม
ตัวอย่างที่ 2:
บริษัท AdEspresso เอาหนังสือ ebook มาล่อให้กับคนทำการตลาดใน Facebook อยู่แล้วครับ ผมอยากจะบอกนิดหนึ่งครับว่า AdEspresso เขาจะโฆษณาใน Facebook เฉพาะตอนที่เขาทำ Remarketing นะครับ ผมคิดว่ากลุ่มเป้าหมายของเขาอาจจะไม่ค่อย convert เท่าไหร่ ถ้าไม่ใช่ Remarketing
ส่วนตัวผมแล้ว ผมไม่ค่อยชอบการใช้ ebook เข้ามาเป็นข้อเสนอในการทำโฆษณา Facebook ครับ เพราะว่าคนที่เล่นเฟสบุ๊คจะมีส่วนน้อยครับที่อยากจะอ่านอะไรยาวๆ อย่าง Ebook ครับ เพราะฉะนั้นผมจะโฆษณาในบล็อกของผมเอาครับ
ตัวอย่างที่ 3:
บริษัท Target เอาข้อเสนอลดอีก 10% จากราคาตามป้ายเอามาล่อครับ ผมอยากจะบอกนิดหนึ่งนะครับว่าบริษัท Target จะเป็นร้าน Super Store อย่าง Big C และ Lotus ครับ
เขาเก็บข้อมูลลูกค้าเขาดีมากครับ เพราะฉะนั้นผมมั่นใจว่าเขาทำการบ้านมาก่อนหน้านี้แล้วแน่นอน
พอจะเห็นภาพกันแล้วใช่ไหมครับ? การที่ใช้ข้อเสนอดีๆเข้ามาล่อนั้น ส่วนใหญ่แล้วมันอยู่ที่การเดาใจกลุ่มเป้าหมายครับว่าเขาต้องการอะไร
การใช้ข้อเสนอที่ดีและถูกต้องนั้นเป็นเรื่องที่สำคัญมากครับ ถ้าคุณยังไม่รู้ว่าข้อเสนอควรจะใช้อะไร ผมแนะนำให้คุณลองทำ A/B testing กับข้อเสนอที่คุณมีอยู่ตอนนี้ครับ
เพราะการทำโฆษณาคุณไม่สามารถจะเดาได้ครับว่ากลุ่มเป้าหมายของคุณต้องการอะไร เพราะฉะนั้นคุณต้องออกไปเก็บข้อมูลเองครับ
เทคนิคโคตรง่าย #4: ทำ A/B testing ให้กับโฆษณา
บางทีตอนเราทำโฆษณา เราอาจจะใช้เวลากับมันมากและเราคิดว่าเราทำมันออกมาได้ดีแล้ว แต่เราไม่มีทางรู้ได้ครับนอกจากเราจะทำ A/B testing ครับ
สิ่งที่ผมแนะนำก็คือลองทำมาสัก 2 – 3 ตัวเอามาทดลองกันดูครับ ดูว่ามันจะออกมาเป็นยังไง เรื่องการตั้งงบประมาณในการโฆษณาคุณไม่ต้องเอามากครับ
ส่วนมากที่ผมทำผมเริ่มจากงบตั้งแต่ 100 – 200 บาทต่อโฆษณาเท่านั้นเองครับ
นึกประมาณว่าการแข่งม้า ลองให้วิ่งแข่งกันดู ดูว่าตัวไหนชนะ ถ้ารู้ตัวชนะแล้วก็มาทุ่มที่ตัวนั้นตัวเดียวครับ สิ่งที่ควรจะลองมากที่สุดคือ รูปภาพ ครับ เพราะว่าตัวนี้จะส่งผลต่อโฆษณาของคุณมากที่สุด
ถ้าไม่มีเวลาจริงๆ ก็ลองทำโฆษณาแบบเดียวกันแล้วใช้รูปภาพคนละแบบกัน ลองดูครับว่าอันไหนจะได้ผลดีที่สุด
ตาคุณเอาไปลองแล้ว!
อย่างที่ผมบอกไปครับว่าการโฆษณาคือการทดลองและการลงมือทำครับ ผมมั่นใจครับว่าคน 80% ที่อ่านบทความนี้ไม่เอาไปทำหรอกครับ แต่ผมก็หวังว่าคุณจะเป็น 1 ใน 20% คนที่จะเอาไปลงมือทำนะครับ
เพราะการเพิ่ม CTR ให้กับโฆษณาของคุณ นอกจากจะได้คลิกแล้ว คุณยังจะได้ราคาโฆษณาที่ถูกลงมาอีกครับ ซึ่งจะเป็นประโยชน์หลายต่อจากการทำโฆษณาของคุณครับ
ถ้าเกิดมีคำถามอะไรอยากจะถามผม จัดมาได้เลยนะครับ ผมจะพยายามตอบทุกๆคำถามให้ดีและเร็วที่สุดครับ ผมแนะนำให้คุณอ่านบทความข้างล่างนี้ด้วยนะครับ
คุณจะได้ทำโฆษณา Facebook ได้เจ๋งขึ้นและก็ได้กำไรเยอะๆครับ
โพสที่มีคนอ่านเยอะที่สุด:
- จาก 2 ถึง 4,227 ไลค์ (ละ ฿0.11) ทำยังไงมาดูกัน (โฆษณา Facebook)
- 87 สถิติที่คุณต้องรู้ (ถ้าทำโฆษณาใน Facebook)
- 43 ตัวอย่างโฆษณา Facebook ที่ (เจ๋งจนต้องร้องขอชีวิต) สำหรับปี 2018
- โฆษณา Facebook: 21 ไอเดียเจาะกลุ่มลูกค้าเด็ดๆ (ที่คุณอาจคิดไม่ถึง)
- Facebook Ads vs. Adwords อันไหนเหมาะกับธุรกิจคุณมากกว่ากัน?
สำหรับวันนี้ผมขอให้คุณโชคดีและรวยๆขึ้นนะครับ!
- วิธีทำ SEO ให้ keywords ติดอันดับสูงๆ บน Google - September 29, 2022
- วิธีใช้ Instagram Hashtags อย่างเซียน แบบละเอียด (ฉบับเต็ม) - September 22, 2022
- Multi-Channel Online Marketing: คืออะไร ใช้เอาชนะคู่แข่งได้ไหม? - September 15, 2022
Comments
ขอบคุณที่แบ่งปันค่ะ ขอบคุณมากค่ะ
ยินดีมากๆ เลยครับผม
Leave a Comment