5 เทคนิคการเขียน “หัวข้อโฆษณา” ให้รวยเหมือนถูกหวย (+ พร้อมผลทดลอง)

เมื่อวานนี้ตอนนี้ผมกำลังค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับโฆษณาของลูกค้าผมใน Facebook ผมลองเลื่อนๆดูหน้า feed ผมเรื่อยๆ (ไม่ได้อู้งานนะครับ สาบาน!!) ผมเห็นโฆษณาเยอะมากเลยครับ ที่ทำออกมาแล้วไม่ดี
รู้ไหมครับว่าร้อยทั้งร้อยมันเกี่ยวกับ “หัวข้อโฆษณา” กับ “รูปโฆษณา” หลายๆคนเห็นว่าง่าย “เห้ย เขียนนิดเดียวก็ได้แล้วล่ะ ไม่เป็นไรหรอก คิดมาก” มันไม่จริงครับ เพราะสมัยนี้มีบริษัทที่โตเพราะเขียนหัวข้อดีเยอะเลยครับ
ผมจะยกตัวอย่างให้ดูนะครับ จะได้เห็นภาพกันง่ายๆ
บริษัท Newswhip ได้ลองศึกษาและวิเคราะบริษัทที่เกี่ยวกับสื่อออนไลน์ทั้งหลายว่าบริษัทพวกนี้ได้ไลค์ แชร์ ทวีท (tweet) ได้ยังไงและเท่าไหร่ รู้ไหมครับบริษัทที่ได้เยอะที่สุดคือบริษัทอะไร? คือ Upworth ครับ โพสๆหนึ่งเขาโพสออกมาเอาได้ยอดแชร์ถึง 18,000+ แชร์ต่อโพสเลยนะครับ.
แล้วลองเดาสิครับว่า Upworth เขาใช้กลยุทธ์อะไร?….. เดาเลยครับผมจะรอ…… ได้หรือยังครับ? ใช่ครับ เขาเน้นการเขียน “หัวข้อ” ในแต่ละบทความของเขาครับ
ผมไปอ่านเรื่องกลยุทธ์ว่าเขาทำยังไงถึงได้ผลลัพท์แบบนี้ คุณรู้ไหมครับว่านักเขียนของ Upworth เนี้ยเขาเขียนหัวข้อมา “25 หัวข้อ” ต่อบทความนะครับ แล้วเขาก็เอามา A/B Test กันครับ ดูว่าอันไหนได้ผลดีที่สุดแล้วก็ใช้อันนั้น
Upworth เป็นแค่ตัวอย่างหนึ่งที่ผมเอามาเล่าให้ฟังเฉยๆครับ จริงๆแล้วในประเทศไทยเราก็มีเยอะแยะไปครับ ถ้าใครอ่านข่าวใน Line News งี้อะครับ จะเห็นว่าข่าวที่ Line News ไปเอามา เขาเขียนหัวข้อข่าวดีมากครับ เลยอยากกดเข้าไปอ่านแต่ที่ไหนได้อ่านไปแล้วไม่มีอะไรเลย เขียนผิดๆถูกๆบ้างเหมือนรีบอะไรประมาณนี้ครับ
สิ่งที่คุณจะได้ในการอ่านบทความนี้
> เรียนรู้ว่าหัวข้อที่ดีต้องเป็นแบบไหน เพื่อจะไม่ทำผิดพลาดเมื่อคุณเขียนโฆษณาของตัวเองหรือให้ลูกค้า
> เรียนรู้เทคนิคในการเขียนที่ผ่านการทดลองมาแล้วว่าได้ผล พร้อมกับรายละเอียดของผลการทดลอง
> คุณจะสามารถเขียนหัวข้อโฆษณา หรือบทความได้ดีขึ้นหลังจากอ่านบทความนี้
ในเมื่อเริ่มเห็นภาพกันแล้วว่าการเขียนหัวข้อมันดียังไง เรามาเริ่มกันเลยดีกว่าครับ
บทความนี้มีอะไรบ้าง
3 หัวใจหลักหัวข้อที่เจ๋งขาดไม่ได้
ก่อนที่เราจะเข้าไปพูดถึงเรื่องเทคนิคอะไรต่างๆ เรามาดูกันก่อนนะครับว่าหัวข้อที่ดีมันต้องมีอะไรบ้างเพื่อคุณจะได้เข้าใจการเขียนหัวข้ออย่างถ่องแท้ครับ
> หัวข้อต้องดึงดูดความสนใจได้
ลองนึกถึงตอนที่คุณกำลังเล่น Facebook แล้วก่อนที่คุณกำลังจะไปทำงาน คุณเลื่อนลงมาดูอะไรตลกๆหรือรูปที่เพื่อนคุณแท็กคุณเข้ามา แล้วอยู่ๆมาเห็น 2 บทความ แต่ละบทความมีหัวข้อไม่เหมือนกัน หัวข้อคือ
- “การเขียนโฆษณาอย่างเป็นแบบรูปแบบ”
- “เขียนโฆษณายังไงให้เจ๋ง มาดูกัน (มีของแถมด้วย!)”
คุณจะเลือกกดเข้าอันไหนครับ? ของมันแน่อยู่แล้วครับ คน 80% คงจะอยากกดอันที่ 2 มากกว่าเพราะมันดึงดูดความสนใจใช่ไหมล่ะครับ?
> หัวข้อต้องบอกว่าคนอ่านจะได้อะไร
สมัยนี้เราอยู่ในโลกดิจิตอลครับ คนเราต้องการอะไร “เร็วๆ” ไว้ก่อนครับ เพราะฉะนั้นก่อนที่คนจะกดอ่านได้ เขาต้องรู้ก่อนว่าถ้ากดอ่านเข้าไปแล้วจะเจอบทความแบบไหน
ถ้าหัวข้อคุณไม่สามารถจะบอกคนอ่านได้แบบนั้น เขาก็จะเลื่อนผ่านไปที่อื่นต่อครับ เพราะว่าเขามีตัวเลือกเยอะครับ เลื่อนไปอีกหน่อยก็เจออันใหม่ละ
> หัวข้อต้องตรงกับความสนใจของคนอ่าน
ไม่ว่าหัวข้อคุณจะเขียนมาดีแค่ไหน ถ้าไปเจอคนอ่านที่ไม่สนใจ หัวข้อคุณก็ไม่ได้เกิดครับ เพราะฉะนั้นก่อนคุณจะเขียน คุณต้องเข้าใจก่อนว่ากลุ่มเป้าหมายของคุณสนใจอะไรอยู่ (ณ ตอนนั้น)
ที่ผมใช้คำว่า “ณ ตอนนั้น” เพราะว่าอย่างที่พูดไปก่อนแรกครับว่าสมัยนี้เป็นยุคที่อะไรก็ต้องเร็วไว้ก่อน ลูกค้าของคุณความสนใจอาจจะเปลี่ยนไปเปลี่ยนๆครับ
ถ้าไม่เชื่อผม ลองเข้าไปดูใน Google trends หรือ Twitter Hashtags สิครับ จะเห็นว่าความสนใจของคนในแต่ละวันแทบจะไม่เหมือนกันเลย
ดังนั้นต้องทำการบ้านเรื่องกลุ่มเป้าหมายมาหน่อยนะครับ แล้วก็เขียนให้ตรงกับความสนใจของกลุ่มเป้าหมายที่สุดครับ
จำหัวใจหลัก 3 ตัวนี้เอาไว้นะครับ เพราะคุณจะต้องได้ใช้มันตราบใดที่คุณยังต้องเขียนโฆษณาอยู่ครับผม
เทคนิคการเขียนหัวข้อ #1: ใช้ตัวเลขหรือสถิติ
คนเราตอนอ่านอะไร สมองเราจะพยายามทำความเข้าใจครับ ถ้าเป็นตัวหนังสือเยอะๆ สมองเราก็จะใช้พลังงานมากขึ้น แต่ถ้ามีตัวเลขเข้ามา มันจะช่วยให้สมองของเราทำความเข้าใจกับข้อมูลนั้นๆครับ
ไม่แปลกใจนะครับว่าหัวข้อที่มีตัวเลขหรือสถิติจะได้รับผลตอบรับที่ดีกว่าหัวข้อที่เป็นแค่ตัวหนังสือเปล่าๆครับ
ผมไม่ได้มโนเอานะครับ ผมมีวิจัยและการทดลองมาฝากด้วยครับ บริษัท Conductor ได้ทดลองเรื่องที่ว่าหัวข้อแบบไหนที่ “คนชอบคลิก” มากที่สุดครับ
ผลออกมาก็คือหัวข้อที่มีตัวเลขมีคนคลิกเยอะถึง 36% และชนะหัวข้อแบบอื่นหมดเลยครับ
อีกการทดลองหนึ่งที่บริษัท Outbrain เป็นคนทำขึ้นมาโดยการรวบรวมหัวข้อที่มีอยู่ใน Database เขาถึง 150,000 เอามาวิเคราะห์ดูครับว่าแบบไหนได้ผลดีที่สุด
Outbrain บอกว่าผลลัพท์ก็คือหัวข้อที่มีตัวเลขแปลกๆ จะได้คลิก 20% เยอะกว่าหัวข้อที่มีตัวเลขธรรมดาครับ
ตัวเลขแปลกๆก็แบบนี้ครับ “ บ้านเป็นหนี้ ฿16,575.64 โอ้ว มายก๊อดดด!” อะไรแบบนี้เป็นต้นครับ
เรามาดูตัวอย่างกันนิดหน่อยนะครับ
เห็นไหมครับว่า Nokia เขาใช้ตัวเขียนเพื่อจะให้เรารู้สึกสนใจว่าสิ่งที่เขาพูดถึงคืออะไร แล้วตัวเลขพวกนี้ที่ผมบอกไปคือจะได้ผลดีกว่าตัวเลขธรรมดาถึง 20% (ข้อมูลของ Outbrain)
ลองคิดดูครับว่าถ้า Nokia ใช้ตัวเลข “50,000” และ “600” มันคงไม่น่าอ่านขนาดนั้นใช่ไหมล่ะครับ?
- เหตุผลที่ตัวเลขที่มันดูแปลกๆได้ผลเพราะว่ามันดูเหมือนว่าตัวเลขนั้นมาจากข้อมูลที่มีจริงๆ ไม่ใช่คิดขึ้นมาเอง เช่น ถ้าแม่ค้าบอกคุณว่าเสื้อตัวนี้ราคา 200 กับเสื้อตัวนี้เราคา 193.75 สตางค์ คุณจะอยากต่อรองราคาตัวไหนมากกว่ากันครับ? ก็ต้องเป็นตัวแรกอยู่แล้วครับ
เรามาดูอะไรที่ไม่ใช่โฆษณาออนไลน์กันบ้างนะครับ ดูว่าเขาเห็นว่าการใช้ตัวเลขในโฆษณามันสำคัญแค่ไหนครับ
เห็นไหมครับว่าน่าโฆษณานี้เขาใช้ตัวเลข “91” เพื่อดึงดูดความสนใจของคนอ่านโฆษณาของเขาครับ
คนอ่านโฆษณานี้ก็จะคิดขึ้นมาในตอนที่เห็นแรกๆเลย “อะไรคือ 91 ฟ๊ะ?” อ่านๆที่เหลือก็เลยเข้าใจครับว่าโฆษณามันคืออะไร จริงไหมครับ?
เทคนิคการเขียนหัวข้อ #2: เร่งลูกค้า(ทางอ้อม)
ลูกค้าหลายๆคนที่เห็นโฆษณาของคุณอาจจะยังไม่อยากจะคลิกครับเพราะว่ายังไม่รู้สึกว่าต้องรีบ (อารมย์ประมาณทำการบ้านส่งครูเลยครับ ถ้าไม่ใกล้วันส่งก็ไม่อยากจะทำ)
ดังนั้นคุณต้อง “เร่ง” เขาครับ แต่ทำในทางอ้อมๆ เพราะว่าลูกค้าสมัยนี้เจอโฆษณากันเยอะมากครับในแต่ละวัน ผมไปอ่านข้อมูลของทาง CBS ทำมาเรื่อง “cutting through advertising clutter” ครับ เขาบอกว่าสมัยนี้คนเราเห็นโฆษณาถึง 5,000 โฆษณาต่อวัน (โอ้ว แม่เจ้า)
เพราะฉะนั้นเขาโดนโฆษณาเจ้าอื่นเร่งตรงๆอยู่แล้วครับ คำพวกนี้คุณหูไหมครับ?
- ของมีจำนวนจำกัด ช้าหมดอดนะค๊าบบบ!
- รีบๆเข้ามาซื้อก่อนโปรหมด
- ต้องรีบเลย เพราะซื้อ 1 แถม 1!!
โอเค ตูเข้าใจว่าตูต้องรีบ ถึงแม้ (คำสรรพนามพ่อขุมราม) ไม่บอกตรู ตรูก็จะต้องรีบไปซื้ออยู่แล้วหล่ะ 555+
คนแสบสื่อโฆษณาปัจจุบันเหมือนเด็กครับ บอกให้เขาทำอะไรเขาจะไม่ทำ เราเลยต้องปรับตัวไปกับเขาครับ เราต้องเปลี่ยนคำพูดจากเดิมเป็นการเร่งแบบตรงๆ เราลองมาเปลี่ยนเป็นการเร่งแบบอ้อมๆดูครับ เช่น
- โปรโมชั่นมีตั้งแต่วันที่ 10–15 ตุลาคมเท่านั้น
- สินค้าขาดตลาด เรามีเหลือแค่ 1,000 ชิ้นเท่านั้น
อะไรแบบนี้เป็นต้นครับ
ผมพูดมาเยอะแล้ว เรามาดูผลทดลองกันหน่อยเลยดีกว่าครับว่าการเร่งลูกค้า(ทางอ้อม) มันได้ผลยังไง
บริษัทการตลาดอย่าง ConverionXL เขาได้ทดลองครับว่าถ้าใส่โฆษณาที่เร่งลูกค้ากับไม่เร่งลูกค้า อันไหนจะได้ผลดีกว่ากัน?
ผลออกมาก็คือตัวโฆษณาที่เขาเร่งลูกค้าได้ผลดีกว่า (ได้ขายเยอะกว่า) โฆษณาทั่วไปถึง 332%
เรามาดูกันครับว่าโฆษณาที่เขาเอาไปทดลองมันหน้าตาเป็นยังไง ในการทดลองนี้เขาใช้โฆษณาอยู่แค่ 2 ตัวครับ
ตัวที่ 1
ตัวที่ 2
จะเห็นครับว่าตัวที่เพิ่มมาก็มีอยู่แค่ตัวเดียวเท่านั้นเองนั้นก็คือเวลาที่กดดันเร่งลูกค้าให้รีบๆซื้อก่อนที่เวลาจะหมดครับ
เห็นไหมครับ อะไรเล็กๆน้อยๆแบบนี้ทำให้ conversionXL ได้ขายคอร์สของเขามากขึ้นถึง 332%

เหตุผลที่การเร่งลูกค้าแล้วได้ผลเป็นเพราะว่าถ้าเรารู้ว่าอะไรที่เราต้องการกำลังจะหายไปแล้ว เราจะเกิดความรู้สึก “กระวนกระวาย” ครับ แล้วเราจะไม่สามารถเอามันออกจากหัวได้ นอกจากจะซื้อๆหรือทำไปซะ มันจะได้จบๆไปเสียที
เรามาดูอีกตัวอย่างหนึ่งส่งท้ายเทคนิคนี้กันครับ
เห็นไหมครับว่า Groupon ไม่ได้เร่งลูกค้าโดยตรง แต่เขาจะได้เวลาบอกแทนครับ “4 ชั่วโมงเท่านั้น” และก็บอกด้วยความว่าหมดเวลากี่โมง “5 โมงเย็น”
พอจะเห็นภาพได้ชัดเจนแล้วใช่ไหมครับว่าการเร่งลูกค้าทางอ้อมมันเป็นยังไง? เรามาต่อกันที่ตัวถัดไปเลยครับ
เทคนิคการเขียนหัวข้อ #3: ตรงประเด็นไม่อ้อมค้อม
หลายๆคนที่เขียนโฆษณา ไม่ต้องว่าแต่ SME หรือคนทั่วไปเลยครับ บริษัทใหญ่ๆก็ทำกันครับ เพราะเขาอยากจะเขียนหัวข้อให้ฟังแล้วดูฉลาดไงครับ แต่เขาไม่ได้คิดซะหน่อยว่าเขียนไปแล้วคนอ่านเข้าใจหรือเปล่า
ตัวอย่าง
- โครงการบ้าน…. ดี ชีวิตที่ดีขึ้น (ดีขึ้นกว่าตอนไหนฟ๊ะ? แสดงว่าม*งว่าชีวิตตอนนี้ตรูแย่งั้นเหรอ?)
- กินยาตัวนี้แล้วดีต่อสุขภาพ รับรอง 100% (รับรองจากใคร? แบบนี้ใครๆก็พูดได้ ม*งกินให้ดูก่อนไหมล่ะ?)
หัวข้อที่ดีคือหัวข้อที่คุณสามารถอ่านแล้วเข้าใจได้เลยครับ ไม่ต้องมาแปลในหัวอีกแล้วครับ
- โครงการบ้าน… ห่างจาก BTS เพลินจิต 2 นาที
- ยาแก้ปวด ทำจากว่านหางจรเข้ 100%
ที่ผมเขียนๆมาข้างบนนี้ผมมั่วข้อมูลหมดเลยนะครับ ฮ่าๆ แค่อยากจะให้ดูเฉยๆว่ามันเป็นยังไง อย่าพยายามไปหาโครงการบ้านใกล้ BTS เพลินจิตล่ะครับ (เพราะผมซื้อไว้แล้ว ล้อเล่นนะครับ ฮ่าๆ)
ผมพูดๆไปเยอะเดี๋ยวคุณจะนึกว่าผมมโนเอา มาดูผลการทดลองกันเลยดีกว่าครับ จะได้เห็นภาพได้ชัดเจนกว่านี้
บริษัท Unbounce เป็นบริษัทที่ช่วยสร้างอุปกรณ์ตัวช่วยให้กับนักการตลาดออนไลน์ครับ เขาอยากจะทำอะไรที่เป็นประโยชน์ต่อกลุ่มลูกค้าของเรา เขาก็เลยทำการทดลองที่จะดูกันว่าหัวข้อแบบไหนที่ได้ผลที่สุด
เขาทดลองอยู่ 3 หัวข้อครับ
หัวข้อที่ 1(control): ชอบผนันใช่ไหม? เหมือนกันเลย!!
หัวข้อที่ 2: ทำยังไงให้พนันแล้วได้ตังเยอะกว่าเดิม — มาดูทิบดีๆกัน
หัวข้อที่ 3: หยุดเสียตังค่าพนันไปมากกว่านี้ — มาดูว่าทำยังไงถึงพนันแล้วได้
จากผลทดลองแล้วเราจะเห็นครับว่า ตัวที่ 2 จะได้ผลดีที่สุดถึง 41.14% ครับ เห็นไหมครับว่าเขียนให้มันชัดเจนกว่าเดิมนิดหน่อย ให้คนรู้ว่าอ่านแล้วจะได้อะไร แค่นี้คุณก็สามารถเพิ่มยอดขายได้แล้วครับ
มาดูข้อมูลการทดลองอีกตัวของบริษัท Conductor กันครับว่ามันเป็นยังไง
เห็นไหมครับว่าถ้ายิ่งหัวข้อของคุณชัดเจนและตรงประเด็นแค่ไหน คนก็จะอยากคลิกมากขึ้นครับ
เรามาดูตัวอย่างกันเลยครับ
อันนี้เป็นโฆษณา Facebook เพราะฉะนั้นคุณจะเห็นว่าหัวข้อโฆษณาจะสั้นเป็นพิเศษ เพราะว่าคนที่เล่น Facebook ส่วนใหญ่เขาไม่ค่อยมีสมาธิเท่าไหร่ครับ เพราะว่าเขาอยากจะแค่มาชิวเฉยๆ ไม่ได้มาอ่านอะไรยาวๆ (นอกจากเขาจะสนใจจริงๆ)
โฆษณานี้ของสายการบิน Frontier ก็เลยเขียนหัวข้อมาสั้นมากๆ (แต่ได้ใจความและตรงประเด็น)
เทคนิคการเขียนหัวข้อ #4: ต้องสั้นและได้ใจความ
ก่อนที่จะมี Instagram และ Snapchat ขึ้นมา คุณรู้ใช่ไหมครับว่า Twitter ดังและเป็นที่นิยมมาก เพราะว่าอ่าน Twitter เหมือนเราได้อ่านหัวข้อข่าวสั้นๆครับ แต่เราเข้าใจว่าสิ่งที่เราอ่านจาก tweet นั้นมันคืออะไร
Copy blogger เขาเป็นบล็อกที่แชร์ความรู้เรื่องการเขียนอยู่แล้วนะครับ แล้วผมก็ไปอ่านผลทดลองของเขาครับ มันมีอันหนึ่งที่น่าสนใจมากก็คือ เขาบอกว่า 80% ของคนอ่านบทความจะไม่อ่านต่อ ถ้าหัวข้อไม่น่าสนใจ
อันนี้ผมก็บอกไม่ได้นะครับว่ามันจริงมากน้อยแค่ไหน แต่ผมบอกในฐานะของคนที่ชอบอ่านบล็อกเยอะครับและผมก็เชื่อว่าหลายๆคนเป็นเหมือนกัน
- อ่านหัวข้อ
- กดเข้ามาอ่านในบทความ
- เลื่อนดูๆว่ามีอะไรน่าสนใจหรือเปล่า
- อ่านบทสรุป ถ้าสนใจก็จะอ่านทั้งหมด
แต่ถ้าหัวข้อไม่น่าสนใจ ก็จะไม่มีใครอ่านเลยครับ
ผมมีผลการทดลองที่บริษัท Outbrain เขาทำขึ้นมาทดลองว่า “หัวข้อต้องมีตัวหนังสือกี่ตัว ถึงจะดีที่สุด”
ทีมของ Outbrain ได้นำเอาหัวข้อที่เขามีใน database ของเขามารวมๆกันแล้วลองวิเคราะห์ดูกันครับ ผลออกมาก็คือ “หัวข้อที่มีตัวหนังสือตั้งแต่ 60–100 ตัวมีคนคลิกเยอะที่สุด” ครับ
อย่างที่เห็นนะครับว่าถ้ามีน้อยกว่า 60 ตัวอักษรผลลัพท์ก็จะน้อยลงไปและถ้ามีมากเกินกว่า 100 อัตราคลิกก็จะได้น้อยลงตามไปด้วยครับ
แล้ว Outbrain ก็ได้เห็นว่า “หัวข้อที่มีประมาณ 16–18 คำ จะได้คลิกเยอะที่สุด” ครับ
จำไว้นะครับว่าถ้าเป็นกลุ่มลูกค้าที่ใช้มือถือ คำที่ใช้มันต้องสั้นจริงๆครับ เพราะว่าส่วนใหญ่คนที่ใช้มือถือเขาจะไม่มีสมาธิสักเท่าไหร่ อยู่กับอะไรได้ไม่ค่อยนาน ถ้าเขาเห็นว่าหัวข้อโฆษณาของคุณมีตัวหนังสือเยอะ เขาก็อาจจะรู้สึก “ขี้เกียจ” แล้วก็ไม่อ่านเลยครับ
เรามาดูตัวอย่างกันครับ
บริษัทขายที่นอนแบบเก็บพับได้เขาใช้หัวข้อโฆษณาเขาแค่ “4 คำ” เท่านั้นครับ แล้วคำอธิบายของเขาก็ไม่ยาวด้วยครับ “sleep now, pay later”
ตัวอย่างอีก 1 ตัว
บริษัท Marvin เขาใช้หัวข้อโฆษณาแบบตรงประเด็นมากเลยครับ เขาขอแค่ 4 คำเหมือนกัน Casper เลยครับ แค่นั้นก็สามารถคุยกับนักโภชนาการได้แล้วครับ
เทคนิคการเขียนหัวข้อ #5: ตั้งคำถาม
การที่เราใช้คำถามในหัวข้อโฆษณาหรือบทความมันจะได้ผลเพราะว่าสมองคนเรามันทำมาเพื่อจดจำและประมวณผลข้อมูลที่เราได้มาใช่ไหมล่ะครับ?
แต่ถ้าสมองเจอคำถาม แล้วไม่ได้คำตอบล่ะครับ? มันก็ต้องคิดหาคำตอบใช่ไหมครับ? คุณเคยเป็นไหมครับที่บางทีกำลังนั่งๆอยู่แล้วคิดเพลงในหัวขึ้นมาได้ แต่นึกยังไงก็นึกไม่ออกว่ามันชื่อว่าเพลงอะไร มันติดหัวอยู่นั้นแหละ ลืมไม่ได้สักที
แบบนี้แหละครับที่เรียกว่าสมองของคุณกำลัง “ขาดข้อมูลที่จะไปเติมเต็ม” ครับ ในภาษาทางจิตวิทยาเขาเรียกว่า “information gap” ครับ ถ้าใครคล่องภาษาอังกฤษ ลองเข้าไปอ่านใน PDF นี้ฟรีครับ: ข้อมูลเกี่ยวกับ information gap
แต่คุณต้องจำไว้นะครับว่าคุณต้องรู้ว่ากลุ่มลูกค้าของคุณสนใจเรื่องอะไรอยู่ แล้วถามให้ถูกคำถามครับ เช่น สมมุตถ้ากลุ่มลูกค้าของคุณติดตามข่าวพี่ตูนวิ่ง ก็ลองตั้งคำถามประมาณนี้ครับ
- พี่ตูนวิ่งไปเท่าไหร่แล้ว คลิกดูเลย
- อาการปวดหลังที่เป็นกันมากในหมู่นักวิ่ง (เหมือนพี่ตูน) อ่านต่อเลย
อะไรประมาณนี้เป็นต้นครับ
เรามาดูตัวอย่างกันครับ จะได้เห็นภาพได้ชัดเจน
ลองดูโฆษณานี้กันครับ คุณคิดไหมครับว่าคนที่สูบบุหรี่เขาจะสนใจอยากจะดู อย่าว่าอย่างนั้นอย่างนี้เลยครับ ขนาดผมไม่สูบบุรหรี่ผมยังอยากจะเข้าไปอ่านดูเลยครับ
ตัวอย่างอีกหนึ่งตัวครับ
โฆษณานี้ของบริษัท Soylent ใช้เทคนิคนี้ดีไปหน่อยครับ เพราะว่าใส่ตัว “?” เต็มรูปโฆษณาไปหมดเลย แล้วมีคำถามว่า “รสชาติ (ของนมถั่วเหลือง Soylent) เป็นยังไง?”
ขนาดผมไม่เคยได้ยินมาก่อน ผมยังอยากจะไปลองชิมดูเลยครับ อยากจะแค่รู้แค่นั้นแหละว่ามันเป็นยังไง อร่อยหรือเปล่าว่ากันอีกที 555+
ตาคุณลองแล้ว!
ไม่ว่าจะเป็นยุคไหนๆ ความรู้เรื่องการเขียนหัวข้อให้เจ๋งก็ยังมีความต้องการอยู่ตลอดครับ เพราะว่ามันจะเป็นตัวที่ทำให้คุณประสบความสำเร็จแล้วทำให้โฆษณาของคุณได้รับผลตอบรับดีกว่าเดิมหลายเท่าครับ
การเรียนรู้ทุกๆอย่างจะไม่มีประโยชน์ถ้าคุณไม่ลองเอาไปทำดูครับ เพราะฉะนั้นลองเอาความรู้ที่ได้จากบทความนี้ไปปรับใช้กับการเขียนหัวข้อโฆษณาและบทความที่คุณมีอยู่ตอนนี้นะครับ เพราะว่าตัวเปลี่ยนเล็กๆน้อยๆบางทีอาจจะมีผลที่ดีต่อยอดขายของคุณเยอะมากเลยก็ได้ครับ
ถ้ามีคำถามอะไรก็ถามผมมาได้ในคอมเม้นเลยนะครับ ผมจะพยายามตอบทุกคำถามให้ดีที่สุดครับ
โพสที่มีคนอ่านเยอะที่สุด:
- จาก 2 ถึง 4,227 ไลค์ (ละ ฿0.11) ทำยังไงมาดูกัน (โฆษณา Facebook)
- 87 สถิติที่คุณต้องรู้ (ถ้าทำโฆษณาใน Facebook)
- 43 ตัวอย่างโฆษณา Facebook ที่ (เจ๋งจนต้องร้องขอชีวิต) สำหรับปี 2018
- โฆษณา Facebook: 21 ไอเดียเจาะกลุ่มลูกค้าเด็ดๆ (ที่คุณอาจคิดไม่ถึง)
- Facebook Ads vs. Adwords อันไหนเหมาะกับธุรกิจคุณมากกว่ากัน?
และถ้าอยากจะรู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับโฆษณาก็บอกผมเข้ามาได้เลยครับ ผมจะเขียนมาให้อ่านครับ
สำหรับวันนี้ขอให้โชคดีและรวยๆครับ!
- วิธีทำ SEO ให้ keywords ติดอันดับสูงๆ บน Google - September 29, 2022
- วิธีใช้ Instagram Hashtags อย่างเซียน แบบละเอียด (ฉบับเต็ม) - September 22, 2022
- Multi-Channel Online Marketing: คืออะไร ใช้เอาชนะคู่แข่งได้ไหม? - September 15, 2022
Leave a Comment