คนทำโฆษณาฟังทางนี้! 5 เทคนิคดีๆ (ที่คุณอาจจะไม่รู้)

คนที่ทำโฆษณา Facebook เหมือนกันมาสักพักคงจะรู้ครับว่า Facebook เปลี่ยนกฎบ่อยมากเลยครับ วันนี้เจอเทคนิคใหม่จะเอาไปใช้ ที่ไหนได้มันหมดอายุไปแล้ว (Facebook เปลี่ยนทำไมฟ๊ะ!)
ทำให้คนทำโฆษณาใน Facebook หลายๆคนยังไม่รู้เลยครับว่ามีกฎอะไรใหม่ๆแบบนี้เกิดขึ้นมาด้วยเหรอ อย่าว่าแต่คนทำใหม่เลยครับ คนที่ทำมาหลายปีแล้วยังไม่รู้เลยครับ ถ้าไม่ได้ไปคลุกคลีติดตามข่าวสารจริงๆ
ผมมายกตัวอย่างให้ดูเลยครับ
- หลายๆคนไม่รู้ครับว่าตอนเราโพสสามารถใส่รูปได้มากกว่า 10 รูปแล้ว เมื่อก่อนได้แค่รูปเดียว
- ตอนนี้สามารถชวนคนที่ไลค์โพสมาเป็นแฟนเพจได้แล้ว
ถ้าคนที่ทำโฆษณา Facebook หรือทำเพจอยู่แล้ว อันนี้ไม่มีปัญหาครับ น่าจะรู้ๆกันอยู่แล้ว ฮ่าๆ แต่ผมยังมั่นใจครับว่ายังมีคนอีกหลายคนที่ยังไม่รู้เกี่ยวกับเทคนิคเจ๋งๆที่ผมจะมานำเสนอวันนี้ครับผม!
ถ้าคุณอ่านบทความนี้เสร็จแล้วจะได้อะไรกลับไปบ้าง
- 5 เทคนิคเจ๋งๆที่จะช่วยคุณทำโฆษณา Facebook ได้ดีขึ้น
- วิธีสอนทำแบบละเอียด อ่านเสร็จแล้วทำเองได้เลย
- เข้าใจกลไกลของการทำโฆษณา Facebook อย่างถ่องแท้
ถ้าไม่มีอะไรมากแล้ว เรามาเริ่มกันเลยดีกว่าครับ
บทความนี้มีอะไรบ้าง
เทคนิคที่ #1: สร้างโพสของคุณให้เป็นรูป Carousel
ตอนเมื่อก่อนเราสามารถใส่รูปได้ทีละรูปใช่ไหมล่ะครับ แต่ตอนนี้ไม่ใช่แล้วครับ คุณสามารถใส่รูปเข้าไปได้มากถึง 10 รูปต่อโพสครับ
เทคนิคนี้จะทำให้โพสของคุณได้เปรียบกว่าโพสที่มีแค่รูปเดียวครับ เพราะว่าคนเราเป็นมนุษย์ที่ใช้การมองเห็นเพื่อตัดสิน (Visual being) ครับ ยิ่งมีรูปให้ดูเยอะยิ่งดีครับ (แต่อัดมาเป็น 100+ รูปแบบนี้ก็ไม่ไหวครับ 555+)
สำหรับคนที่ยังไม่คุ้นเคยกับคำว่ารูปแบบ Carousel เป็นยังไง ผมมีตัวอย่างมาให้ดูครับผม
เอาง่ายๆเลยคือมันจะเป็นรูปที่เราสามารถเลื่อนๆไปได้ด้วยครับผม การใช้รูปแบบ Carousel นี้จะได้ผลมากครับ เพราะผมก็ชอบใช้เหมือนกัน
ผมเคยทดลองใช้รูปแบบ Carousel ไป A/B Testing กับรูปธรรมดาทั่วไป ผมเห็นความแตกต่างในคนที่สนใจในโฆษณาของผมมากขึ้นเยอะเลยครับ (ผมไม่ได้เก็บ Screenshot ไว้ ไม่งั้นคงจะเอามาแชร์แล้วครับ ฮ่าๆ)
แล้วเมื่อก่อนหน้านี้ ผมก็อ่านผลทดลองที่บริษัท Kinetic Social ได้ทำขึ้นมาเกี่ยวกับโฆษณา Carousel Ads ว่าได้ผลยังไง
คุณรู้ไหมครับว่าการใช้ Carousel Ads ทำให้โฆษณาที่ Kinetic Social ไปทดลองได้คลิก (CTR) มากขึ้นถึง 10 เท่าเลยครับ ถ้าอยากจะศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับการทดลองนี้ ลองเข้าไปอ่านดูในที่ผมลิ้งไว้นะครับ
แล้วอย่าลืมนะครับที่ผมเคยบอกไปว่าข้อดีอีกอย่างในการที่คุณได้คลิก (CTR) สูงๆ คือราคาโฆษณาของคุณจะต่ำไปด้วยครับ
หลายๆคนยังไม่เข้าใจนะครับว่าทำไม มันเป็นเพราะว่าถ้าคุณได้คลิกน้อย มันจะไม่คุ้มสำหรับ Facebook ที่จะรันโฆษณาของคุณครับ Facebook เลยต้องคิดเงินคุณเยอะกว่าคนอื่นหน่อยหนึ่งถึงจะคุ้มขึ้นมาหน่อยหนึ่ง
แต่ถ้าโฆษณาของคุณได้คลิกเยอะ (CTR) มันก็จะดีสำหรับ Facebook ด้วยครับเพราะว่าแปลว่าคนที่เห็นโฆษณาของคุณชอบโฆษณาคุณด้วย
ถ้าคุณสนใจเรื่องพวกนี้คุณควรจะศึกษาเรื่อง Relevance Score ครับ
วิธีสร้างโพสหรือโฆษณาที่ใส่รูปแบบ carousel ได้
ในเมื่อพูดมาถึงขนาดนี้แล้ว เรามาดูกันเลยดีกว่าครับว่าถ้าคุณอยากจะสร้างโพสที่ใช้รูปแบบ Carousel ให้ทำยังไง ผมจะสอนอยู่ 2 วิธีนะครับ
- สอนเพิ่มโพสที่สามารถใส่รูปได้หลายๆรูป (Carousel)
- สอนสร้างโฆษณา Facebook ที่สามารถเพิ่มรูปได้หลายๆรูป (Carousel)
เรามาเริ่มจากอันแรกกันเลยดีกว่าครับ
สร้างโพสที่สามารถใส่รูปแบบ Carousel
อันนี้ง่ายมากครับผม หลายๆคนอาจจะทำเป็นแล้วแต่ผมคิดว่ายังมีคนที่ยังไม่เป็นอีกจำนวนหนึ่งครับ ผมเลยอยากจะทำให้เขาดูด้วย สำหรับคนที่เป็นแล้วให้เลื่อนผ่านไปเลยนะครับ เจอกันในข้อถัดไปครับ ฮ่าๆ
Step #1: เข้าไปในเพจที่คุณดูแล แล้วก็กดตรงที่จะโพสได้เลยครับผม
Step #2: จากนั้นก็ใส่อะไรก็ได้ครับที่คุณอยากจะโพสลงไป ของผมใส่ลิ้งลงไปด้วยทำให้มันออกมาเป็นแบบนี้ครับผม ถ้าคุณต้องการที่จะแชร์โพส มันก็จะเด้งขึ้นมาแบบนี้ให้คุณเหมือนกันครับ
จากนั้นก็ก็กดเพิ่มรูปตรงนี้ได้เลยครับ
แค่นี้ก็เป็นอันเสร็จเรียบร้อยแล้วครับ ง่ายๆใช่ไหมล่ะครับ? ไม่ต้องห่วงครับ Facebook ไม่อยากทำให้มันยากหรอกครับ เพราะไม่งั้นก็ไม่มีคนใช้สิใช่ไหมครับ? ฮ่าๆ
เรามาดูตัวต่อไปกันเลยดีกว่าครับ
สร้างโฆษณาที่สามารถใส่รูปแบบ Carousel
ตัวนี้จะยากกว่าตัวเมื่อกี้หน่อยครับ แต่ก็ไม่ยากขนาดนั้นครับ ถ้าค่อยๆทำตามผม ผมรับรองครับว่าทำได้แน่นอน
Step #1: อันดับแรกที่คุณต้องทำคือต้องเข้าไปใน Ad Manager ครับ ถ้าคุณเข้าไปแล้ว หน้าที่คุณจะเห็นก็จะเป็นประมาณนี้เลยครับ
จากนั้นก็คลิกตรงคำว่า “Create” (หรือ “สร้าง” ถ้าของคุณเป็นภาษาไทย) เพื่อสร้างโฆษณาแบบ Carousel ครับผม
Step #2: อันนี้แล้วแต่จะเลือกเลยนะครับว่าจะเอาอันไหน เพราะว่าจุดประสงค์ในการทำโฆษณาของแต่ละคนไม่เหมือนกันครับ
แต่ในการสาธิตนี้ผมจะเลือก “Traffic” นะครับ หลังจากนั้นผมก็ไปคลิก “ต่อไป” เพื่อที่จะไปหน้าต่อไปครับ
Step #3: หลังจากนั้นก็จะเจอหน้าที่ต้องให้คุณใส่ว่าคุณจะเจาะจงลูกค้าแบบไหนครับ อันนี้ผมจะไม่ลงลึกนะครับ ใส่เลยครับ เดี๋ยวผมจะรอ
โอเค เสร็จแล้วใช่ไหมครับ? จากนั้นก็ลงมากดเพื่อจะไปหน้าต่อไปเลยครับ
Step #4: แล้วหลังจากนั้นก็กดตรงคำว่า “Carousel” เลยครับ จากนั้นก็ใส่รูปที่คุณอยากจะใส่ลงไป แค่นี้ก็เป็นอันที่เสร็จเรียบร้อยครับ
ชอบเทคนิคนี้ไหมครับ? ถ้าอ่านๆไปแล้วมีคำถาม สามารถถามผมในคอมเม้นใต้โพสนี้ได้เลยนะครับ
เรามาดูกลยุทธ์ต่อไปกันเลยดีกว่าครับ
เทคนิคที่ #2: เปลี่ยนคนไลค์โพสให้เป็นแฟนเพจ
ตอนเมื่อก่อนคนชอบโพสก็แค่กดไลค์เฉยๆแค่นั้นใช่ไหมครับ แต่ตอนนี้ไม่ใช่แล้วครับ Facebook สามารถให้คุณเชิญคนที่กดแค่ “Like” เฉยๆมากดเป็นแฟนเพจคุณได้เลยครับ เจ๋งใช่ไหมล่ะครับ?
จริงๆแล้วผมเป็นคนหนึ่งนะครับที่ไม่ชอบทำโฆษณาเพื่อซื้อไลค์ให้กับเพจครับ เพราะเราก็รู้ๆกันอยู่ว่า ถ้าคนที่ติดตามเพจเราไม่ตั้งค่าให้ “เห็นเพจของเราก่อน” (See First) อันนั้นก็ไม่มีประโยชน์ครับ เพราะว่า Reach จะต่ำมาก
แล้วอีกอย่างแค่โฆษณาเพื่อให้ได้เพจไลค์ก็แพงขึ้นเรื่อยๆด้วยครับ อันนี้เป็นตัวอย่างที่ผมเคยทำให้กับมูลนิธิช่วยน้องหมาน้องแมวครับ ได้มาไลค์ละ ฿0.20 บาท แทบจะไม่มีแล้วครับ ตอนนี้
อย่างที่ผมบอกไปครับว่ามัน Reach มันต่ำมากจนไม่คุ้ม เพราะฉะนั้นกลยุทธ์ที่ดีกว่าคือยิงโฆษณาที่มีจุดประสงค์เพื่อให้ได้ “Engagement” หรือส่วนร่วมจากกลุ่มเป้าหมายครับ อาจจะเป็น “Like Comment Share” โฆษณาของคุณก็ว่ากันไปครับ
หลังจากนั้นก็ทำแบบที่ผมแสดงให้ดูตรงนี้เลยครับ
อันดับแรกก็คือเปิดแฟนเพจของคุณขึ้นมาแล้วก็กดตรงนี้เลยครับ
แล้วหลังจากนั้นก็จะมีหน้าต่างแบบนี้ขึ้นมาครับ แล้วก็กดตรงนี้เลยครับ (ผม Invite ไปเกือบหมดละครับ ฮ่าๆ)
แค่นี้ก็เป็นอันที่เรียบร้อยแล้วครับ สำหรับคนที่ยังทำ Facebook ใหม่ๆอยู่ ผมอยากจะบอกนะครับว่า Facebook Like จริงๆแล้วไม่ได้มีความหมายอะไรเลยนะครับ
เพราะว่า Facebook จะลด Reach เพื่อให้เราต้องโปรโมตโพสของเราให้กับคนที่กดไลค์เพจของเราอยู่แล้วให้ได้เห็นครับ ถ้าจะทำโฆษณา Facebook ผมอยากจะให้ไปตั้งเป้าที่ตัวอื่นครับ เช่น คลิก หรือ คอมเมนต์ เป็นต้นครับ
ถ้าเข้าใจตรงกันแล้ว เรามาต่อกันที่ตัวต่อไปกันเลยครับผม
เทคนิคที่ #3: ดูว่าเวลาไหนกลุ่มเป้าหมาย “Active” ที่สุด
อย่างตอนนี้ที่ผมเคยพูดไปครับว่าคนส่วนใหญ่กดไลค์ทีละหลายๆเพจครับ เพราะฉะนั้นถ้าคุณโพสไม่ถูกเวลา คนที่เขาติดตามเพจของคุณอาจจะไม่เห็นโพสคุณเลยก็ได้ครับ เพราะฉะนั้นถ้ารู้ว่าควรโพสเวลาไหนจะดีที่สุดครับ
ผมเคยอ่านบทความของ Buffer เรื่องเวลาการโพสอะไรนี้แหละครับ แต่รู้ไหมครับ Buffer บอกว่า “เวลาที่ดีที่สุดที่ให้โพส มันไม่มีจริงหรอกครับ Buffer บอกว่าจะโพสตอนไหนก็ได้”
แต่ผมไม่เห็นด้วยครับ เพราะว่าเหมือนคุณไปจีบหญิงอะครับ ดูจริงๆแล้วคุณจะไปจีบตอนไหนก็ได้ ไม่น่าจะมีปัญหา แต่ลองคิดดูดีๆครับ ถ้าคุณไปจีบเขาตอนเขาเครียดๆ หรือ วันนั้นของเดือน จะเป็นยังไงครับ? โดนปฎิเสธสิใช่ไหมครับ?
แต่ถ้าคุณรู้วันเวลา หรือ ที่คนไทยเราเรียกกันว่า “กาละเทศะ” อันนี้คุณก็จะมีโอกาสที่จะประสบความสำเร็จมากขึ้นครับ
คุณไม่ต้องเชื่อผมนะครับ แต่ลองไปอ่านบทความของ Buffer แล้วเอาเรื่องที่ผมพูดไปกลับมาคิดดูดีๆครับ
เรามาดูกันเลยดีกว่าครับว่าถ้าเราจะดูว่าเวลาไหนที่จะโพสดีที่สุด ให้ทำยังไงครับ อันดับแรกให้คุณเข้าไปในเพจของคุณแล้วก็กดตัวนี้ (Insights) เลยครับ
หลังจากนั้นก็คลิกตรงคำว่า “Post” ครับผม แล้วก็จะเห็น Graph แบบนี้เลยครับที่บอกว่า “เวลาที่คนติดตามเพจของคุณ Online เยอะที่สุด คือตอนไหน”
ถ้าคุณเลื่อนๆลงมาคุณก็จะเห็นว่าแต่ละโพสของคุณได้ Reach และ Engagement เยอะแค่ไหนครับ
คงจะเห็นกันอยู่แล้วนะครับว่าโพสที่ผม Boost เยอะๆก็จะได้ Reach เยอะกว่าตัวอื่น อันนี้เป็นแผนของ Facebook อยู่แล้วนะครับ เพราะว่าเขาอยากจะให้เรา “จ่ายเงินเพื่อซื้อไลค์จาก Facebook” แล้วก็ “จ่ายเงินอีกรอบเพื่อเข้าถึงคนที่เราได้เขามาไลค์” อีกครับ มิน่า Mark Zuckerberg ถึงรวยมหาศาล ฮ่าๆ
สำหรับผมและประสบการณ์โดยตรงที่ผมมีมากับโฆษณาใน Facebook ผมบอกตรงๆเลยนะครับว่า รู้เวลาโพสไม่ค่อยสำคัญเท่าไหร่หรอกครับ แต่มันก็ยังสำคัญครับ
เหมือนคุณขับรถจักรยานอะครับ ถึงแม้คุณไม่ใส่น้ำมันให้โซ่ จักรยานของคุณก็ยังปั่นได้ไหมครับ แค่ปั่นแล้วจะยากขึ้นหน่อยเท่านั้นเอง?
แต่เรากำลังแข่งขันกับคนอื่นอยู่ครับ คุณต้องการให้จักรยานคุณปั่นง่าย และดีสำหรับการปั่นมากที่สุดใช่ไหมล่ะครับ?
การที่คุณรู้ว่ากลุ่มลูกค้าของคุณ Active ตอนไหนบ้างก็ดีแบบนี้แหละครับ เพราะฉะนั้นอย่างที่ผมบอกไปครับว่าให้คุณลองอ่านหลายๆที่แล้วลองเอามาคิดดูว่าคุณควรจะเชื่อที่ผมพูดหรือเปล่า
เรามาเทคนิคต่อไปกันเลยครับ
เทคนิคที่ #4: ตั้งเวลาให้ Facebook โพสให้
ผมจำได้ตอนเมื่อไม่กี่ปีก่อนหน้านี้ Facebook ยังไม่ได้เปิดตัว Feature นี้ขึ้นมาครับ หลายๆคนที่ทำการตลาดในโซเชี่ยวมีเดียก็เลยต้องไปหาตัวช่วยมาช่วยทำเพจครับ เช่น Hootsuite เป็นต้น
แต่ตอนนี้ Facebook สามารถให้เราตั้งเวลาโพสได้แล้วครับ เช่น ถ้าคุณอยากจะโพสตอน 3 โมงเย็นแต่ตอนนั้นคุณไม่อยู่บ้านและไม่มีเน็ตในมือถือ ไม่รู้จะทำยังไง คุณก็สามารถสร้างโพสขึ้นมาแล้วตั้งเวลาให้ Facebook โพสให้ได้ครับ ง่ายใช่ไหมล่ะครับ?
เรามาดูกันเลยดีกว่าครับว่าต้องทำยังไง
Step #1: เข้าไปในเพจของคุณแล้วก็กดตรงนี้เพื่อที่จะสร้างโพสเลยครับ ทำไปด้วยกันเลยนะครับ จะรอ… ทำเลยครับรออยู่… เสร็จแล้วใช่ไหมครับ? ได้หน้าตาแบบนี้ไหมครับ?
กดตรงนี้แล้วก็เลือกคำว่า “Schedule” เลยครับ
Step 2: จำเวลาที่เราไปดูกันมาเมื่อกี้ได้ไหมครับ? คุณเลือกหรือยังครับว่าจะเอาเวลาไหน? ถ้ารู้หมดแล้วให้กดเลือกเวลาเลยครับ หลังจากนั้นเสร็จแล้วก็กด “Schedule” ก็เป็นอันเสร็จเรียบร้อยครับผม
ถ้าคุณจ้างทีม Freelance มาทำเพจให้ ก็บอกให้เขา Schedule ไว้ที่ละหลายๆวันเลยก็ได้ครับ
ผมแนะนำให้โพสวันละอย่างน้อย 3–4 โพสครับ แต่ต้องเป็นโพสที่มีคุณภาพดีนะครับ ไม่ใช่โพสขายของ ไม่อย่างงั้นคุณจะถูก “Blacklist” จาก Facebook ครับ เพราะผมเห็นมีคนเป็นปัญหานี้เยอะเหมือนกัน
ปัญหานี้จะเป็นประมาณว่าโพสของคุณได้ Reach เยอะอยู่ดีๆหายไปเฉยเลย แล้วไม่รู้ว่าเพราะอะไร ทำยังไงก็ไม่ได้ Reach กลับมาครับผม
ถ้าจะโพสก็เอาเป็นสาระๆหน่อยนะครับ ถ้าโพส 10 ตัว ให้มีสาระอย่างน้อย 9 ครับ แล้วอีก 1 คือขายของ โอเคไหมครับ?
เรามาตัวถัดไปกันเลยครับ
เทคนิคที่ #4: ตั้งกฎให้ Facebook ทำ optimization ให้โฆษณาเอง
อย่างที่ผมบอกไปครับว่าตอนแรกๆที่ยังไม่มีตัวช่วยเยอะขนาดนี้ คนที่ทำเพจหรือโฆษณา Facebook ต้องไปหาตัวช่วยจากที่อื่นครับ แต่ตอนนี้ไม่ต้องละ ทำโฆษณา Facebook แทบจะไม่ต้องกระดิกนิ้วเลยครับบางที (เว่อไปเปล่าฟ๊ะ???)
ถ้าคนที่ทำโฆษณา Facebook มาสักพักแล้วจะรู้จักตัวช่วยทำโฆษณา Facebook ที่ AdEspresso ทำขึ้นมาครับ
ตัวนี้ดีมากครับเพราะอุปกรณ์ตัวนี้จะช่วยปรับเปลี่ยนโฆษณาของเราถ้ามีอะไรเกิดขึ้นครับ เช่น ถ้าโฆษณาของคุณจ่ายเงินไป xx แล้ว ให้หยุดก่อน แล้วค่อยเริ่มใหม่ทีหลังแบบนี้เป็นต้นครับ
แต่รู้ไหมครับว่า Facebook ออก Feature ตัวใหม่มาที่ให้คุณสามารถทำอะไรแบบนี้ได้ “ฟรี” เลยครับ ไม่ต้องเสียตังสักบาทเดียว
แต่ Adespresso คิดราคาแพงชิบ(หาย) เลยครับ
พูดมาถึงขนาดนี้แล้ว เรามาดูกันดีกว่าครับว่าทำยังไงเราถึงจะใช้เครื่องมือที่จะช่วยให้ Facebook ทำ Optimization ให้กับโฆษณาของคุณได้
สำหรับคนที่ยังไม่คุ้นกับคำว่า “Optimization” มันคือการที่คุณปรับเปลี่ยนโฆษณาของคุณให้มันดีขึ้นครับ อาจจะใช้ผลตอบรับจากกลุ่มลูกค้ามาวัดว่าจะเปลี่ยนตรงไหนดีครับ
สิ่งที่คุณจะทำได้ก็คือ
- บอกให้ Facebook ปิดหรือเปิดโฆษณาเองได้
- ส่งข้อความหาคนที่ดูแลโฆษณาอยู่ ถ้ามีอะไรเกิดขึ้น เช่น ได้ Lead เป็นต้นครับ
- ปรับเปลี่ยนงบประมาณ
- ปรับเปลี่ยน Bid โฆษณา เมื่อจำเป็น (ตามที่คุณตั้งเอาไว้)
เรามาเริ่มทำกันเลยดีกว่าครับผม
Step #1: เข้าไปที่โฆษณาของคุณแล้วกดคำว่า “Ad Set” ครับ แล้วจะเห็นหน้าตาแบบนี้ครับ
Step #2: แล้วจากนั้นก็ไปปรับหรือตั้งกฎตรงนี้ได้เลยครับผม หลังจากนั้นก็กด “Create” หรือ “สร้าง” แค่นั้นก็เสร็จแล้วครับ
เรามาดูกันอีกทีนะครับว่า ถ้าเราตั้งกฎให้ Facebook ช่วยปรับเปลี่ยนโฆษณาให้จะได้อะไรบ้างครับ
- Facebook สามารถแจ้งเตือนคุณตอนที่ค่า CPC ของคุณแพงเกินไป — เช่น ถ้าคุณตั้งไว้ว่าอยากจะจ่ายแค่ คลิกละ 5 บาท แต่จู่ๆ Facebook เกิดคิดราคาคลิกละ 10 บาท Facebook ก็จะส่งแจ้งเตือนมาให้ครับ
- Facebook แจ้งเตือนตอนที่มีค่า Frequency สูง — ถ้าเกิดมีคนเห็นโฆษณาของคุณเยอะๆ (High Frequency) Facebook ก็จะแจ้งเตือนมาให้คุณครับ เพราะว่าถ้าคนเห็นโฆษณาของคุณเยอะๆ แล้วไม่มีคนคลิกเยอะ ค่า Relevance Score ของคุณก็จะต่ำครับ มันจะบ่งบอกว่าโฆษณาของคุณไม่ตรงตามความสนใจของกลุ่มเป้าหมาย และค่าโฆษณาก็จะแพงไปด้วยครับ
- Facebook สามารถเพิ่มงบให้กับโฆษณาที่ทำเงินให้คุณได้ดี — ถ้าคุณตั้งกฎให้ Facebook เพิ่มงบให้ มันจะดีที่ว่าถ้าคุณทำๆไปแล้วเกิดคุณได้ Conversion Rate ที่ดี แล้วไม่อยากจะหยุด Facebook ก็สามารถเพิ่มงบประมาทให้กับโฆษณาตัวนั้นของคุณได้โดยที่คุณไม่ต้องไปยุ่งอะไรกับมันเลยครับ
เทคนิคที่ #5: สามารถ A/B Test กลุ่มลูกค้าหลายๆกลุ่มได้ในโฆษณาเดียว
ผมบอกเลยนะครับว่าการทำโฆษณาไม่ว่าจะเป็นในช่องทางไหน เราจะไปเจอคนที่ไม่ค่อยสนใจโฆษณาของเราขนาดนั้นอยู่แล้วครับ แล้ววิธีที่เราสามารถแก้ปัญหาตรงนี้ได้ก็คือการที่เราทำ A/B Testing ครับ
ถ้าคนที่ยังไม่มั่นใจว่า A/B Testing เป็นยังไง มันก็คือการที่เราทดลองอะไรมากกว่า 1 ตัวแล้วเอามาแข่งกันว่าอันไหนได้ผลดีที่สุดครับ อันนี้คือคอนเซ็ปต์ง่ายๆของมันเลยครับ
อย่างที่ผมพูดไปตอนแรกๆเกี่ยวกับกลุ่มลูกค้าครับว่าบางทีเราก็ไม่แน่ใจว่ากลุ่มลูกค้าไหนกันแน่ที่อยากจะซื้อสินค้าหรือใช้บริการของเราใช่ไหมล่ะครับ? เราก็เลยต้องมาทำ A/B Testing ดูครับ
ผมอยากจะให้คุณจำว่าการทำโฆษณาไม่ควรที่จะ “เดา” เอานะครับ เพราะว่าเราไม่รู้หรอกครับว่ากลุ่มลูกค้าของเราคือใครและชอบแบบไหนจนกว่าเราจะได้ทดลองดูก่อนครับ
ให้ตัวเลขเป็นตัวชี้ทางของคุณนะครับว่าควรจะปรับเปลี่ยนโฆษณาหรือไปทางไหนดี
เรามาดูกันเลยดีกว่าครับว่าต้องทำยังไงถึงจะสามารถ A/B Test กลุ่มลูกค้าของเราได้
Step #1: เข้าไปสร้างโฆษณา ตอนที่คุณกำลังจะสร้าง Ad Set ให้เลือก “Create Multiple Adsets” แทนที่จะสร้างแค่อันเดียวแบบที่เห็นในภาพเลยครับ
Step #2: หลังจากนั้นก็จะเจอแบบนี้เลยครับ แล้วคุณก็เลือกได้เลยครับว่าจะทดลองอะไรบ้าง
บางทีอาจจะอยากทดลองคนที่โสด แต่งงาน หรือหย่าร้าง ดูว่าคนแต่ละกลุ่มเขามีผลตอบรับกับโฆษณาของคุณยังไงครับ
แต่อย่างที่ผมเคยบอกไปในโพสที่แล้วว่า “อย่าทดลองเยอะเกินไป” ครับ เพราะบางทีมันจะทำให้คุณบ้าไปซะก่อน ฮ่าๆ
แค่นี้ก็เป็นอันที่เรียบร้อยแล้วครับผม
เสร็จแล้วก็รอดูนะครับว่าโฆษณาอันไหนที่ได้ผลดีที่สุด แต่ผมอยากจะขอย้ำว่าต้องให้โฆษณามันรันไปก่อนสักพักนะครับ ถ้าเห็นว่าโฆษณามันทำได้ไม่ดีเท่าไหร่อย่าเพิ่งไปรีบตัดครับ ต้องรออย่างน้อย 3 วันครับจนกว่าจะรู้ได้ชัดว่าอันไหนมันได้ผลดีที่สุด
เพราะว่าบางทีกลุ่มลูกค้าของคุณจริงๆเขายังไม่เห็นโฆษณาของคุณครับ อาจจะเป็นเพราะว่างบคุณน้อยแล้วเข้าไม่ถึงหรือเปล่า อันนี้ผมก็พูดไม่ได้ครับ (ไม่อยากเดา ฮ่าๆ)
โพสที่มีคนอ่านเยอะที่สุด:
- จาก 2 ถึง 4,227 ไลค์ (ละ ฿0.11) ทำยังไงมาดูกัน (โฆษณา Facebook)
- 87 สถิติที่คุณต้องรู้ (ถ้าทำโฆษณาใน Facebook)
- 43 ตัวอย่างโฆษณา Facebook ที่ (เจ๋งจนต้องร้องขอชีวิต) สำหรับปี 2018
- โฆษณา Facebook: 21 ไอเดียเจาะกลุ่มลูกค้าเด็ดๆ (ที่คุณอาจคิดไม่ถึง)
- Facebook Ads vs. Adwords อันไหนเหมาะกับธุรกิจคุณมากกว่ากัน?
ตาคุณเอาไปลอง
อย่างที่ผมพูดไปทุกๆอย่างข้างบนครับว่า Facebook เขาเพิ่ม Feature ใหม่ๆมาช่วยคนทำโฆษณาเยอะมากครับ บางทีผมก็ตามไม่ทันเหมือนกันครับ ผมเองก็ต้องติดตามข่าวสารอยู่บ่อยๆใน Blog ของ Facebook เอง
ทั้งนี้ทั้งนั้นผมก็อยากจะให้คุณเอาที่ผมแชร์ในวันนี้เอาไปทดลองดูครับ ดูว่ามันได้ผลยังไงหรือเปล่า
ถ้าที่อ่านๆมาแล้วมีคำถาม สามารถถามผมมาได้ตลอดเลยนะครับ ผมจะพยายามตอบคำถามของทุกๆคนให้ได้ดีที่สุดครับ
คำถามของผมสำหรับคุณวันนี้คือ “ เทคนิคที่เจ๋งที่คุณเกี่ยวกับ Facebook ที่คุณรู้คืออะไร?”
ผมจะรอดูครับตอบในคอมเมนต์นะครับ
สำหรับวันนี้ขอให้โชคดีและรวยๆ!
- วิธีทำ SEO ให้ keywords ติดอันดับสูงๆ บน Google - September 29, 2022
- วิธีใช้ Instagram Hashtags อย่างเซียน แบบละเอียด (ฉบับเต็ม) - September 22, 2022
- Multi-Channel Online Marketing: คืออะไร ใช้เอาชนะคู่แข่งได้ไหม? - September 15, 2022
Leave a Comment