7 ความผิดพลาดที่เซียน Google Ads ก็ยังทำ (คุณก็อาจทำเหมือนกันนะ!)

ผมเป็นคนหนึ่งที่ชอบใช้โฆษณา Google Ads มากๆ เพราะว่ามันใช้ได้ผลมากกว่าโฆษณาเฟสบุ๊คในหลายๆอย่างครับ ยิ่งเป็นพวกธุรกิจแบบ B2B นี้ยิ่งจะได้เปรียบมากกว่าเฟสบุ๊ค ไปกันใญ่เลย ถ้าอยากจะรู้ความคิดเห็นผมเกี่ยวกับความแตกต่างระหว่างโฆษณาเฟสบุ๊คกับ Google Ads อ่านบทความ
แต่บอกเลยครับว่าถ้าทำโฆษณา Google Ads ไม่เป็นนี้จะแย่กว่าเฟสบุ๊คเยอะครับ เพราะว่าราคาคลิกจะแพงกว่าและ conversion rate ก็จะน้อยกว่าเยอะครับ
วันนี้ผมเลยมีแรงบันดาลใจอยากจะเขียนเรื่องความผิดพลาดในการทำโฆษณา Google Ads ขึ้นมาเพื่อจะให้คุณได้ทำโฆษณาได้เก่งขึ้นและทำกำไรให้กับธุรกิจของคุณมากขึ้นเรื่อยๆ (รวยขึ้นๆๆๆ) ครับ
วันนี้ก่อนที่จะเข้าเรื่องกัน เรามาดูกันก่อนดีกว่าครับว่าคุณจะได้อะไรไปจากบทความนี้บ้างถ้าอ่านเสร็จแล้ว
บทความนี้มีอะไรบ้าง
อ่านเสร็จแล้วได้อะไรบ้าง
- เรียนรู้ความผิดพลาดต่างๆที่ผมเจอบ่อยในโฆษณา Google Ads
- เรียนรู้กลไกลที่แท้จริงของการทำโฆษณา Google Ads เพื่อที่จะได้เอาไปทำเองหรือลูกค้าของคุณ
- เคล็ดลับและความรู้เล็กๆน้อยๆเกี่ยวกับโฆษณา Google Ads
ถ้าไม่มีอะไรมาก เรามาเริ่มกันเลยดีกว่าครับ
ความผิดพลาด #1: ใส่ keyword เข้ากลุ่มมั่ว
การที่ใช้ keyword grouping ไม่เป็นหรือใช้ไม่ดีพอนั้นเป็นข้อผิดพลาดอันดับ 1 ที่แย่ที่สุดสำหรับการทำโฆษณา Google Ads เลยครับ เหตุผลก็คือว่ากลุ่มเป้าหมายที่หา keyword แต่ละตัวนั้นมี search intent ไม่เหมือนกันครับ เช่น ถ้าคุณใช้ keyword คำว่า “ซื้อรถยนต์ มือสอง” keyword ทุกๆคำที่คล้ายๆกับคำๆนี้ต้องอยู่ในกลุ่มเดียวกันครับ
สมมุติว่าถ้าเกิดคุณอยากจะใช้คำว่า “ซื้อรถยนต์” ไปใส่ในกลุ่มเดียวกัน คุณจะทำให้โฆษณานั้นเสียไปได้เลยครับ เพราะว่ากลุ่มเป้าหมายที่ค้นหาโดยใช้คำว่า “ซื้อรถยนต์” เขาอาจจะยังไม่ได้อยากจะซื้อและอยากจะแค่ดูผ่านๆเฉยๆ และยังไม่ได้ตัดสินใจว่าจะซื้อรถยนต์มือ 1 หรือ มือ 2 ดี เพราะฉะนั้นต้องระวังครับ
ถ้าคุณใช้คำว่า “ซื้อรถยนต์มือสอง” คำกลุ่มเดียวกันก็คือ “ซื้อรถ มือสอง” เป็นต้นครับ เพราะว่ากลุ่มลูกค้ายังมองหารถมือสองอยู่ แต่ถ้ากลุ่มลูกค้ามองหาคำว่า “ซื้อรถกระบะ มือสอง” อันนี้อยู่อีกกลุ่มไปแล้วนะครับ งงไหมครับ?
เพราะว่ากลุ่มเป้าหมายอยากจะหารถที่เจาะจงจริงๆ นั้นก็คือ “รถกระบะ” ไม่ใช่แค่รถยนต์ทั่วๆไป
ผมเคยพูดถึงเรื่องการทำโฆษณาไปแล้วนะครับว่า ถ้ายิ่งเจาะจงและเดาใจลูกค้าได้เท่าไหร่ก็ยิ่งดีครับ

เห็นไหมครับว่าในกลุ่ม keyword นี้โฆษณานี้เขาใช้แค่คำว่า “widget” เป็น keyword string หลักแล้วใช้สีหรือรูปลักษ์อื่นมาเจาะจง keyword เอา
ยกตัวอย่าง
บริษัท Apple เขามีผลิตภัณท์หลายตัวครับ เช่น ไอแพด ไอโฟน แมกบุ๊ค และถ้า Apple ไม่แยกกลุ่มเป้าหมายและกลุ่ม keyword ทีมโฆษณาของ Apple ก็ไม่สามารถ “เดาใจ” ลูกค้าได้ว่า ตอนที่เขาค้นหาคำ เขาอยากจะได้อะไรกันแน่ จะทำให้เขียนโฆษณายากมากครับ
เพราะว่าแทนที่จะเขียนว่า “ซื้อ Macbook air — ลดเลย 1,500” กลับต้องเขียนว่า “ซื้อผลิตภัณท์ของ Apple เลย!” ใครจะไปอยากคลิกใช่ไหมครับ? เพราะว่ามันไม่เจาะจงไงครับ เราค้นหาข้อมูลเราต้องการที่จะเจออะไรที่เจาะจงครับ
ผมเอาตัวอย่างโฆษณาของ Apple มาให้ดูครับ

เห็นไหมครับว่า ถ้าไม่แยก keyword เข้าไปเป็นกลุ่มๆไป เขาจะเขียนหัวข้อโฆษณายากมากเลยครับและจะลด CTR และ conversion rate ด้วยครับ
ข้อแนะนำ:
คุณควรที่จะใส่ keyword ในกลุ่มอย่างมากไม่ควรจะเกิน 20 keywords ครับ ไม่งั้นมันจะกว้างเกินไป 3–5 keywords ก็ได้แล้วครับ ไม่มีปัญหา
ความผิดพลาด #2: ไม่ใช้ negative keywords
หลายๆคนที่ทำ Google Ads ใหม่คงยังไม่เข้าใจว่าจะใช้ negative keywords ยังไง ถ้าพูดแบบรวมๆง่ายๆแล้ว negative keywords คือ keywords ที่เราบอกว่าเราไม่อยากได้ เพราะหลายๆครั้ง Google Ads จะยิงโฆษณาไปให้กับ keywords แปลกๆที่เราไม่ได้ใส่เอาไว้ครับ เพราะฉะนั้นการใช้ negative keywords จะเป็นผลดีที่ว่าโฆษณาของคุณจะไม่มีทางยิงโดนถึงกลุ่มคำพวกนั้นแน่นอนครับ

ตัวอย่างง่ายๆเลยนะครับ คือว่าถ้าคุณเจาะจง keywords คำว่า “ยาสมุนไพร” คุณคงจะไม่อยากให้โฆษณาของคุณไปโผล่ที่ keyword คำว่า “ยาสมุตไพรเสริมเพื่ออวัยวะเพศ” หรอกใช่ไหมครับ
เราเลยต้องมี negative keywords ขึ้นมาไงครับ เพื่อที่จะให้คุณสามารถใส่เข้าไปได้ว่า “ตรูไม่อยากจะได้คำว่า “นม”, “จู๋” อะไรก็ว่ากันไปครับ
พอจะเข้าใจใช่ไหมครับว่า negative keyword มันสำคัญขนาดไหน?
เรามาดูตัวอย่างให้เห็นภาพกันชัดๆสักหน่อยนะครับ

เห็นไหมครับว่าในนี้เขาสร้าง list ของ negative keywords ขึ้นมาเพื่อกันไม่ให้โฆษณาไปโผล่คำที่พิมพ์ผิดแบบนี้ครับ
ข้อแนะนำ:
ถ้าอยากจะเข้าใจว่า keywords ตัวไหนที่เป็นปัญหาและอยากจะเข้ามาใส่ list ของ negative keywords คุณต้องเข้าไปดูใน Google Analytics ครับ เพราะว่าใช้แค่ Google Ads เฉยๆไม่ได้ครับ
คุณจะเจอ keywords เจ้าปัญหาใน “Query Match Type” ครับ ส่วนใหญ่จะเป็น keyword ที่ได้คลิกเยอะแต่ไม่ค่อยได้ sales หรือ conversion rate ไม่ค่อยดีนั้นเองครับ
ความผิดพลาด #3: ไม่ได้เจาะจง keywords ชื่อแบรนด์ตัวเอง
ธุรกิจหรือแบรนด์หลายๆที่จะคิดว่าชื่อแบรนด์ตัวเอง คงไม่ต้องโฆษณาเพราะว่าจะขึ้นอันดับแรกอยู่แล้ว มันก็จริงนะครับ แต่ถ้าจะแข่งขันกันสมัยนี้ มันยังไม่พอครับ
ทำไมงั้นเหรอครับ? เพราะว่าคู่แข่งของคุณเขาจะพยายามประมูล keyword ของชื่อแบรนด์คุณอยู่และพยายามจะโขมยลูกค้าของคุณอยู่ครับ
ดูอย่างแบรนด์ eCommerce ดังในประเทศไทยอย่าง Lazada ครับว่าเขาประมูล keyword แบรนด์ของเขาหรือเปล่า
ลองค้นหาคำว่า “lazada” ดูครับ จะเห็นอะไร

เห็นไหมครับ เขาต้อง bid (ประมูล) keyword แบรนด์ของเขาอยู่ตลอดเพราะไม่อย่างงั้นจะถูกโขมยลูกค้าไปง่ายๆครับ
ถ้าคุณยังไม่ได้ทำและไม่แน่ใจว่าควรจะทำหรือเปล่า ลองเข้าไปทำ keyword research ดูก่อนนะครับว่า มีคนค้นหา keyword แบรนด์ของคุณเท่าไหร่ต่อเดือน ถ้ามีมากกว่า 500 ก็ควรจะพิจารณาครับว่าจะ ประมูล keyword ของแบรนด์คุณดีหรือเปล่า
ข้อแนะนำ:
คุณควรจะประมูลราคาสูงหน่อยสำหรับ keyword ของแบรนด์คุณเองครับ เพราะว่าคนที่ค้นหาแบรนด์คุณ เขามีโอกาสที่จะซื้อสูงกว่าคนอื่นครับ เพราะฉะนั้นคุณจะสามารถประมูลราคาแพงๆหน่อยได้ครับ
ความผิดพลาด #4: ไม่รู้ว่า Lifetime value ของลูกค้าแต่ละคนเท่าไหร่
หลายๆคนที่ยังไม่แน่ใจว่า Lifetime value ของลูกค้าคืออะไร มันหมายถึงลูกค้าของคุณแต่ละคนโดยเฉลี่ยแล้วใช้จ่ายกับคุณเท่าไหร่และมีคุณค่าที่เป็นเงินเท่าไหร่
ตัวนี้มีความสำคัญมากครับ เพราะว่ามันจะเป็นตัวตัดสินว่าคุณจะสามารถจ่ายเงินเท่าไหร่เพื่อจะได้ลูกค้าแต่ละคนมาได้ (cost per acquisition) เช่น ถ้า lifetime value ของลูกค้าแต่ละคนของคุณ 5,000 บาท คุณอาจจะสามารถจ่ายได้เยอะถึง 3,000 บาทเพื่อจะได้ลูกค้ามา 1 คนได้ ก็ยังจะคุ้มทุน
พอจะเข้าใจใช่ไหมครับว่ามันสำคัญยังไง?
ยกตัวอย่างง่ายๆอย่างบริษัท eCommerce ทั้งหลายอย่าง Amazon เขารู้ครับว่าลูกค้าแต่ละคนเขามีคุณค่าเท่าไหร่ เพราะว่าลูกค้าหลายๆคนเขาจะไม่ซื้อของแค่อย่างเดียวและหลายๆคนจะซื้อซ้ำด้วย เขาเลยสามารถจ่ายเงินโฆษณาเยอะเพื่อจะได้ลูกค้ามาแต่ละคนได้
ความผิดพลาด #5: ไม่รู้ว่าคู่แข่งคือใครกันแน่
การที่เราทำโฆษณาและการตลาดสิ่งหนึ่งที่ต้องรู้เลยก็คือว่าคู่แข่งเราอยู่ตรงไหนแล้ว แข็งแกร่งมากพอหรือเปล่า ใช้กลยุทธ์แบบไหน เหมือนสุภาษิตจีนที่บอกว่า “รู้เขา รู้เท่า รบร้อยครั้ง ชนะร้อยครั้ง”
ก่อนที่ผมกับทีมงานของผมจะทำโฆษณาให้กับลูกค้าแต่ละคน เราจะใช้เวลามากกว่า 70% เพื่อค้นหาข้อมูล (กลุ่มเป้าหมาย + keywords + คู่แข่ง) ก่อนที่จะสร้างโฆษณาครับ เพราะว่าถ้าไม่อย่างนั้นโฆษณาจะมั่วมากครับ ขาดทุนกันแย่เลย

ลองค้นหาข้อมูลว่าคู่แข่งของคุณใช้ keywords อะไรบ้างในการทำโฆษณาและ landing page ของเขาเป็นยังไงบ้าง เขาทำอะไรได้ดีกว่าคุณหรือเปล่า ต้องลองเอามาวิเคราะห์ดูครับ
ข้อแนะนำ:
หลังจากได้ข้อมูลจากคู่แข่งมาเรียบร้อยแล้ว อย่าลอกมาเลยทีเดียวครับ เพราะว่าอะไรที่ได้ผลสำหรับเขา ไม่ได้แปลว่าจะได้ผลสำหรับคุณครับ เพราะฉะนั้นเราต้องทดลองดูครับ อย่าเชื่ออะไรมากกว่าตัวเลขและผลตอบรับครับ
ความผิดพลาด #6: ความคาดหวังต้องตรงกับงบประมาณ
ผมเข้าใจครับว่าหลายๆคนคงไม่ได้คิดว่ามันเป็นปัญหาอะไรมากแต่จริงๆแล้วมันมีความหมายเยอะมากครับ เพราะผมเห็นว่าคนทำโฆษณา Google Ads เคยได้ยินว่าทำแล้วดีจากคนอื่นทีนี้ก็เลยตั้งความคาดหวังไว้มากครับ แต่ไม่ได้ดูก่อนว่างบประมาณมีเท่าไหร่
แบบว่ามีงบวันละ 300 บาท แต่หวังว่าอยากจะได้กำไรวันละ 3,000 มันเป็นไปได้อยู่แล้วครับ แต่สำหรับคนทั่วไปที่ไม่ได้เซียนจริงๆ ทำไม่ได้แน่นอนครับ เพราะฉะนั้นต้องระวังเรื่องนี้หน่อยนะครับ ไม่งั้นคุณอาจจะคิดว่า “เห้ย โฆษณา Google Ads มันไม่โอเค เปลี่ยนดีกว่า”
คราวนี้ลองตั้งความคาดหวังให้ตรงกับงบประมาณครับ
ข้อแนะนำ:
คุณควรจะเริ่มจากการที่เตรียมงบประมาณที่เยอะกว่าที่คุณคิดว่าควรจะใช้ก่อนครับ แล้วก็รันโฆษณาไปสักพักเพื่อจะได้เข้าใจว่ากลุ่มเป้าหมายของคุณเขามีผลตอบรับกับโฆษณาของคุณยังไง
จำไว้นะครับว่าโฆษณา Google Ads มันต้องใช้เวลามากกว่าโฆษณาแบบอื่นครับ ไม่สามารถจะรีบได้และอย่าเลิกเร็วเกินไปด้วยครับ
ความผิดพลาด #7:ไม่เคยทดลองอันดับโฆษณา (Ad Position)
จริงๆแล้วการที่จะทำโฆษณา Adwords ให้ได้ผลจริงๆ ไม่จำเป็นที่ต้องได้อันดับ 1 เสมอไปนะครับ เพราะว่าผมเคยทำโฆษณาให้กับลูกค้าใหญ่ๆหลายองค์กรครับและผมเป็นคนที่ไม่ชอบใช้เงินโฆษณาเยอะครับ ผมเลยลองทดสอบดูว่าอันดับโฆษณาต่ำๆลงมา (ไม่ใช่อันดับ 1) ว่าจะได้ผลดีเท่ากับอันดับ 1 ไหม
ผลปรากฎว่าอันดับ 3–5 มันไม่ได้มีความแตกต่างมากกว่าอันดับ 1 เท่าไหร่เลยครับและค่าโฆษณาก็จะถูกกว่าเยอะด้วยครับ (35%–40%)
อย่างสุมมติว่าแวดวงธุรกิจของคุณมีคู่แข่งเยอะอย่างนี้ครับ

ถ้าคุณจะพยายามให้ได้อันดับ 1 คงจะแพงมากครับ เพราะฉะนั้นอันดับ 3–5 ก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร แต่ต้องทดลองให้เห็นกับตัวเองนะครับ อย่าฟังผมทั้งหมด เพราะว่าแต่ในธุรกิจมันไม่เหมือนกันครับ
คุณลองคิดดูนะครับว่าลูกค้าที่ซื้อของส่วนใหญ่ เขาไม่ได้ดูของแค่ร้านเดียวหรอกครับ เขาดูหลายๆร้านว่าร้านไหนขายถูกสุดและน่าเชื่อถือที่สุด
อย่าไปห่วงครับถ้าไม่ได้อันดับ 1–2 เพราะมันไม่ได้สำคัญขนาดนั้น
สรุปทั้งหมด
การที่เรารู้ว่าอะไรที่ “ไม่ควรจะทำ” มีประโยชน์พอๆกับที่เรารู้ว่าอะไรที่เรา “ควรจะทำ” ครับ เพราะว่าถ้าคุณรู้ว่าคุณไม่ควรจะทำอะไร คุณจะสามารถประสบความสำเร็จกับโฆษณา Google Ads ได้เร็วขึ้น
แต่ยังไงจำไว้นะครับว่าโฆษณา Google Ads มันต้องใช้เวลาสักหน่อยจนมันจะทำได้และดีขึ้น อย่าเพิ่งรีบหยุดโฆษณาไปก่อน
โพสที่มีคนอ่านเยอะที่สุด:
เพราะฉะนั้นใจเย็นๆและทดลองให้เยอะครับ
สำหรับวันนี้โชคดีและขอให้รวยๆครับ!
- วิธีทำ SEO ให้ keywords ติดอันดับสูงๆ บน Google - September 29, 2022
- วิธีใช้ Instagram Hashtags อย่างเซียน แบบละเอียด (ฉบับเต็ม) - September 22, 2022
- Multi-Channel Online Marketing: คืออะไร ใช้เอาชนะคู่แข่งได้ไหม? - September 15, 2022
Leave a Comment