6 กลยุทธ์เพิ่มพลังให้กับ “โฆษณา Google Ads” (อัพเดทล่าสุด)

อัพเดทใหม่: ตอนเริ่มเขียนบทความนี้ในปี 2018 (2 ปีก่อน) ผมรีบเขียนไปหน่อย ตอนนี้ผมได้มานั่งอ่านบทความนี้และอยากที่จะอัพเดทเพิ่มเติมครับ หวังว่าจะเป็นประโยชน์ต่อเพื่อนๆ มากขึ้นนะครับ

การทำโฆษณาใน Google Ad หรือที่เคยเรียกว่า Adwords นั้นจริงๆ มันก็ยากนะครับ เพราะว่าระบบในการทำโฆษณามันถูกสร้างขึ้นมาตั้งแต่สมัยแรกๆ ครับ

ดังนั้นมันจะถูกพัฒนามาเป็นเวลาหลายปีครับ ปรับไปตามโลกออนไลน์ที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วครับ อย่างตอนนี้มีคู่แข่งเข้ามาอย่าง Facebook ที่เปิดให้ทำโฆษณา จะเห็นว่าเฟสบุ๊คเน้นเจาะคนทุกรูปแบบ พ่อค้า แม่ค้า คนขายของทั่วไป มันเอาหมดครับ

ตอนนี้ Google Ad ก็เอาไปกับเขาด้วยนะครับเท่าที่ผมลองสังเกตดูในพักหลังๆ เพราะมันเริ่มทำโฆษณา Google Ad ง่ายกว่าเดิมเยอะครับ แต่ก็ยังมีส่วนที่หลายๆ คนยังไม่เข้าใจอยู่ดี เช่น ในส่วนของการทำคีเวิร์ด ซึ่งสำหรับคนที่เริ่มใหม่ มันยากโคตรๆ ครับ

ผมเลยตั้งใจที่จะเขียนบทความนี้ขึ้นมาเพื่อจะเอามาช่วยเพื่อนๆ ที่กำลังทำโฆษณา Google อยู่ ให้มันได้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้นไปอีกครับ

การที่เรามีกลยุทธ์ที่ถูกต้อง มันจะช่วยให้เรามองเห็นว่าเราควรจะไปในทิศทางไหนครับ เหมือนกับว่าเราค่อนข้างที่จะชัดเจนในการทำโฆษณาของเรามากขึ้นครับ ตัวนี้เราจะได้เปรียบคนอื่นเยอะเลยครับ

เพราะอย่าลืมนะครับว่าส่วนใหญ่ที่เราทำโฆษณาแข่ง เขาเป็นแค่พ่อค้าแม่ค้าธรรมดาครับ หลายๆ คนไม่ได้มีความรู้เกี่ยวกับการทำโฆษณาครับ เพราะฉะนั้นถ้าเพื่อนๆ วางแผนมาดีกว่า ทำเป็นระบบมากกว่า เราได้เปรียบแน่นอนครับ

เราไม่พูดพร่ำทำเพลงกันมากแล้วครับ เรามาดูกันเลยครับว่าผมเตรียมกลยุทธ์อะไรมาให้เพื่อนๆบ้างครับ

กลยุทธ์ที่ #1: เลือกประมูลคำ (keyword) ที่คนซื้อค้นหาจริงๆ 

การประมูลคำใน Google Ad นั่นจริงๆ แล้ว มันเป็นกระบวนการที่ค่อนข้างจะซับซ้อนพอสมควรนะครับ แต่ผมคิดว่าผมสามารถอธิบายให้เพื่อนๆ ฟังให้พอเห็นภาพก่อนได้ครับ

การที่จะทำโฆษณา Google Ads ให้รุ่งหรือร่วงนี้ ร้อยละ 60% นี้มาจาก keyword ล้วนๆเลยครับ เพราะคนส่วนใหญ่ไม่เข้าใจว่าการที่ใช้ keyword ผิด (ถึงแม้จะเป็นคำที่คิดว่าน่าจะใช่) มันมีผลกระทบต่อโฆษณาแค่ไหน

เพราะคนส่วนใหญ่ผมเห็นเขาจะใช้คีเวิร์ดที่ Google แนะนำเลยครับ ใช้ตามนั้นไปเลย ไม่ได้เอาไปทำการบ้านตรวจสอบด้วยตัวเองครับ มันจะเหมาะแต่สำหรับคนเริ่มใหม่ครับ แต่สำหรับคนจริงจัง ผมมองว่ามันอันตรายมากครับ

สิ่งที่เราควรจะเข้าใจก็คือ “keyword intent” ครับ มันแปลง่ายๆก็คือสิ่งที่คนค้นหา keyword ที่คุณใช้โฆษณาเขากำลังคิดอะไรอยู่ครับ

ในการตลาดและโฆษณาเราจะแบ่งกลุ่มลูกค้าอยู่ 3 จำพวกครับ

  1. คนที่ยังไม่รู้เกี่ยวกับสินค้าของคุณ (awareness)
  2. คนที่กำลังตัดสินใจว่าจะซื้อหรือเปล่า (consideration)
  3. คนที่พร้อมที่จะซื้อ (ขอให้มีสินค้าขึ้นมา จะซื้อได้เลย) (conversion)

การที่เราจะเจาะจง keyword แต่ละตัว เราต้องรู้ครับว่ากลุ่มลูกค้าในแต่ใน Keyword อยู่ในกลุ่มไหน

ผมจะยกตัวอย่างให้ดูนะครับ เช่น คุณขายรถจักรยาน คำที่กลุ่มเป้าหมายของคุณค้นหาจะเป็นบ่งบอกว่าอยู่ในกลุ่มไหนครับ

  • จักรยานเสือหมอบมีกี่แบบ — (awareness) สนใจและกำลังค้นหาข้อมูล ยังไม่พร้อมที่จะซื้อ แต่อยากจะรู้ว่าจักรยานเสือหมอบเป็นยังไง
  • จักรยานเสือหมอบแบบไหนดี — (consideration) คิดไตร่ตรองว่าซื้อแบบไหนถึงจะเข้ากับที่ตัวเองต้องการจึงต้องค้นหาข้อมูลเพิ่ม สามารถซื้อได้ถ้าเจอข้อมูลที่ดี
  • ซื้อจักรยานเสือหมอบ เชียงใหม่ — (conversion) พร้อมซื้อทันที ถ้าเจอเสือหมอบที่ชอบและราคาใช่

เพราะฉะนั้นการทำการบ้านมาดีและรู้ว่าแต่ละ keyword มี intent เป็นยังไงและกลุ่มเป้าหมายพร้อมซื้อหรือเปล่าจึงสำคัญมากครับ

กลยุทธ์ #2: เขียนโฆษณาให้กับแต่ละ keyword group 

ในทางการโฆษณาและการตลาดเราต้องทำให้ลูกค้ารู้สึกว่า “โหย อันนี้ใช่เลยที่อยากจะได้” ครับ เพราะว่าลูกค้าสมัยนี้เจอโฆษณาในแต่ละวันเยอะเหลือเกินและหลายๆคนจะเจอโฆษณาที่ไม่ตรงกับสิ่งที่เขาต้องการมากครับ

จากการทดลองหลายๆอันแล้ว เราจะเห็นว่าการที่เขียนโฆษณาให้กับกลุ่ม keyword แต่ละกลุ่มจะทำให้เราสามารถลดราคาค่าโฆษณาได้ถึง 33.7% ต่อ conversion และเพิ่ม Quality Score ได้ครับ

คุณต้องพยายามเขียนโฆษณาให้แต่ละ keyword group ครับ ไม่ควรจะทำ keyword group ขึ้นมาแล้วก็เขียนโฆษณาตัวเดียว (แบบเดียว) แล้วรันเลย

สมมุติว่าถ้าคุณเขียนโฆษณาให้กับ keyword ที่เกี่ยวกับจักรยาน แล้วคุณใช้คำว่า “ซื้อจักรยานเสือหมอบ” ให้คุณเขียนโฆษณาประมาณนี้ครับ

  • ซื้อจักรยานเสือหมอบ (เหลือ 9 คันเท่านั้น)
  • ซื้อจักรยานเสือหมอบ หนักแค่ 9.6 กิโล

อย่าเขียนแบบดังต่อไปนี้ครับ

  • ซื้อจักรยานถูกๆ
  • ซื้อจักรยานส่งจากอเมริกา ส่งฟรีทั่วไทย

พอจะเข้าใจใช่ไหมครับ? เพราะว่าในแต่ละ keyword จะมี intent ที่ไม่เหมือนกันและคนที่ค้นหาคำๆนั้นเขาอยากจะได้จักรยานที่เจาะจงจริงๆ ไม่ใช่แค่จักรยานทั่วไป

ลองดูข้างล่างครับว่าใน Ad group นี้จะมีแต่คำที่เป็นแบบเดียวกันทั้งหมดครับ

ตัวอย่างโฆษณาออกมาเป็นแบบนี้ครับ

เราจะเห็นใช่ไหมครับว่าถ้าเราเขียนโฆษณาให้มันเข้ากับคนแต่ละกลุ่มแล้ว มันจะมีอารมย์ออกมาไม่เหมือนกัน เช่น คนที่เขาชอบปีนเขา เขาอาจจะมีคำนิยามภูเขาเป็นอีกแบบ มีคำศัพท์ที่เขาใช้กันในหมู่นักปีนเขา

ถ้าเราสามารถใช้คำศัพท์พวกนั้นในโฆษณาของเราได้ มันจะทำให้เขารู้สึกว่าเราเข้าใจเขาครับ ตรงนี้สำคัญมากๆ ครับ

กลยุทธ์ที่ #3: ใช้ Dynamic Keyword Insertion ในโฆษณา

ตัวนี้มันจะเหมือนกับเป็นระบบที่ช่วยเราใส่ keyword ที่เราอยากจะเจาะโดยอัตโนมัตินะครับ ส่วนตัวผมเองใช้บ่อยครับและผมคิดว่ามันมีประโยชน์มากๆ ถ้าเรามีสินค้าอยู่หลายตัวครับ มันจะช่วยใส่ keyword เข้าไปได้เองครับ

ผมชอบ feature นี้ที่ Adwords ทำขึ้นมาครับเพราะว่าอย่างที่ผมบอกไปคือการทำโฆษณาต้องทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าโดนใจครับ สิ่งที่ทำได้ดีที่สุดก็คือการใช้ dynamic keyword insertion ครับ

ผมจะอธิบายให้ฟังคร่าวๆนะครับว่ามันเป็นยังไง

มันคือการที่คุณใส่ keyword ลงไปแล้ว Adwords จะเอาไปใส่ในโฆษณาเองครับ เช่นถ้าคุณตั้งว่า keyword อะไรก็แล้วแต่ที่เกี่ยวกับจักรยานคุณจะมีคำว่า “ราคาถูกๆ” ต่อท้ายไปด้วย

ตัวอย่าง

  • {จักรยานเสือภูเขา} ราคาถูกๆ
  • {จักรยานแม่บ้าน} ราคาถูกๆ

อะไรแบบนี้เป็นต้นครับ พอจะเห็นภาพไหมครับ?

ตัวอย่างอีกหนึ่งตัวครับ

จะเห็นได้นะครับว่ามันจะมีประโยชน์ต่อคนที่ทำโฆษณาขายของที่มันมีหลายๆ รุ่น ครับ เช่น พวกโทรศัพท์ เคสโทรศัพท์อะไรพวกนี้ครับ เพราะว่าแต่ละรุ่นมันก็มีความแตกต่างกันเยอะครับ

เพราะฉะนั้นเพื่อนๆ ไม่ต้องมาทำโฆษณาแยก iphone 10, 11 + เราทำโฆษณาขึ้นมาตัวเดียวและใช้ dynamic keyword เพื่อใส่รุ่นให้เราได้เลยครับ สะดวกดีนะครับ

กลยุทธ์ที่ #4: ใช้รีวิว (หรือ social proof) ในโฆษณา

การใช้รีวิวหรือ social proof ในโฆษณานั้นไม่จำเป็นต้องใช้เฉพาะใน landing page นะครับ สามารถใช้ได้ในโฆษณาได้เลยและได้ผลดีด้วย

คุณสามารถใช้รีวิวของลูกค้าหรือว่าตัวเลขของคนที่ใช้บริการหรือซื้อของคุณในวันนี้ หรือ เดือนนี้ก็ได้ครับ

ในโฆษณานี้เขาใช้คำว่า “ขายไป 721 ชิ้นแล้ววันนี้!” เพื่อจะให้คนเห็นว่าไม่ได้มีแค่เขาคนเดียวที่ซื้อของจากบริษัทนี้ มีคนซื้ออีกหลายคน

คนเราถ้าซื้ออะไรจะไม่อยากจะซื้อผิดพลาดครับ เราเลยคิดว่าถ้าซื้ออะไรที่คนซื้อเยอะๆจะทำให้ลดความเสี่ยงจากการซื้อผิดได้

ตัวอย่างเช่นถ้าคุณไปเดินดูร้านอาหารว่าควรจะทานร้านไหนดี คุณจะรู้สึกว่าร้านอาหารที่ไม่มีคนเลย พนักงานนั่งตบยุงอยู่ไม่น่าเข้า เพราะว่าอะไรครับ? เพราะคุณไม่อยากจะเข้าไปแล้วผิดหวังใช่ไหมล่ะครับ?

ในจุดนี้ก็เหมือนกันครับ การใช้ review หรือ social proof ก็เหมือนร้านอาหารที่มีคนนั่งอยู่เต็มไปหมดครับ

มาดูอีก 1 ตัวอย่างกันครับ

Adword strategies

อีกอันหนึ่งส่งท้ายครับ

อัพเดท: กฎยุทธ์นี้ตอนนี้น่าจะใช้ไม่ได้แล้วนะครับ เพราะ Google น่าจะเอาออกไปแล้วครับ ผมไม่เห็นมาสักพักใหญ่ๆ แต่เรายังสามารถใช้ social proof ได้อยู่นะครับ

ยกตัวอย่างเช่น ยืนยันจากลูกค้ามากกว่า 5,000+ คน อะไรประมาณนี้ครับ อันนี้ลองเขียนให้ดูคร่าวๆ ครับ เพื่อนๆ ลองไปดูว่าจะใช้อะไรให้เข้ากับธุรกิจของเพื่อนๆ ดูครับ

กลยุทธ์ #5: กดดันลูกค้าโดยการใช้ “เวลามีจำกัด” 

บางทีกลุ่มเป้าหมายไม่ว่าจะทำยังไงเขาก็ยังไม่ซื้อครับ อยากจะ “ดูก่อน” ไปเรื่อยๆ เพราะฉะนั้นสิ่งที่เราทำได้และให้เพิ่มยอดขายของเราได้ก็คือการกดดันกลุ่มลูกเป้าหมายครับ

ทำยังไงงั้นเหรอครับ? เราใช้ “เวลามีจำกัด” หรือ “เหลืออีก … ชั่วโมงเท่านั้น” อะไรแบบนี้เป็นต้นครับ

มาดูตัวอย่างแรกกันเลยครับ

Adword strategies

เห็นไหมครับว่าบริษัทนี้เขาใช้ “เหลืออีก 4 วัน 14 ชั่วโมงเท่านั้น” ก่อนจะหมด (อะไรของเขาสักอย่าง)

เขาทำแบบนี้เพื่อจะกดดันให้กลุ่มเป้าหมายรีบตัดสินใจครับ เพราะหลายๆครั้งที่ผมทำโฆษณาให้กับลูกค้า บางทีต้องเห็นโฆษณาหลายรอบมากกว่าจะซื้อครับ ถ้าใช้การกดดันแบบนี้จะได้ผลดีมากครับ

อันนี้ผมไม่ได้คิดขึ้นมาเองนะครับ เพราะผมไปอ่านวิจัยมาเหมือนกันครับว่าการทำแบบนี้ทำให้คุณได้คลิก (CTR) ดีขึ้นถึง 200% จาก 2.87% ถึง 4.02% สำหรับคนที่ทำ Adwords เยอะๆแต่ละเปอร์เซ็นก็มีความหมายสุดๆไปเลยครับ (ข้อมูลจากวิจัย)

แล้วกราฟตัวนี้ก็แสดงให้เห็นว่า conversion rate ของโฆษณานี้เพิ่มจาก 8.24% ไปเป็น 10.80% ครับ

Adword strategies

อัพเดท: การกดดันลูกค้าเราต้องทำจริงนะครับ เช่น บอกว่าเวลาโปรจะหมดภายใน 12 ชั่วโมง มันก็ต้องหมดจริงๆ ครับ ถ้าไม่อย่างนั้น คราวหน้าจะไม่มีใครเชื่อตอนที่เราทำโปรโมชั่นตัวใหม่ครับ

กลยุทธ์ #6: ทำโฆษณาให้กับทุกๆสินค้าที่คุณมี

การทำ Adwords ที่จะให้มีประสิทธิภาพได้ คุณต้องทำโฆษณาให้ละเอียดที่สุดเท่าที่ทำได้ครับ ถึงแม้คุณคิดว่าคุณทำโฆษณาออกมาดีแล้วมันก็ยังจะมีช่องว่างอยู่ดีครับ เพราะผมเจอแบบนี้บ่อยมากครับ

ตัวอย่างเช่น ถ้าผมใช้คำว่า “ซื้อหมวกกันน็อก big bike” บางทีไปดูในบัญชีเห็นคำแปลกๆขึ้นมาเช่น “การขัดเงาหมวกกันน็อก big bike” ครับ

ทางที่คุณจะแก้ได้ก็คือทำโฆษณาออกมาให้กับสินค้าของคุณให้หมดทุกตัวครับ ถ้าคุณเป็นร้านที่ไม่ใหญ่มาก คุณก็คงไม่มีปัญหาสามารถทำเองได้ไม่ต้องเสียตังใช้เครื่องมือ แต่ถ้าขายของเยอะคงต้องใช้เครื่องมือช่วยครับ

แต่ผมมีอีกวิธีหนึ่งมาแนะนำให้ครับ นั้นก็คือการใช้ “dynamic search ads” นั้นก็คือการ set ให้ Adwords หาคำที่ใกล้เคียงกับ keyword ของคุณมาใส่เองโดยที่คุณไม่ต้องสร้างโฆษณาให้กับสินค้าทุกๆตัวของคุณ

หน้าตาโฆษณาจะออกมาเป็นแบบนี้ครับ

ถ้าบริษัทของคุณเป็นคนที่ทำโฆษณาเยอะและมากกว่า 3,000,000 บาทต่อเดือน คุณสามารถใช้เครื่องมือของ Google DoubleClick ชื่อว่า inventory-aware campaigns ได้ครับ คุณจะสามารถปรับแต่งอะไรได้เยอะกว่า “dynamic search ads” เยอะเลยครับ

ลูกค้าหลายๆคนที่ให้ผมใช้ feature ตัวนี้สามารถเพิ่มยอดขายได้มากกว่า 12%–24% เลยครับ ทั้งนั้นทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับโฆษณาและธุรกิจด้วยครับ

ตาคุณเอาไปลองแล้ว!

ในปี 2018 ผมหวังว่าคุณจะได้เอาเทคนิคและกลยุทธ์ที่ผมแชร์ให้นำเอาไปใช้นะครับ เพราะว่ากลยุทธ์พวกนี้คงไม่มีความหมายถ้าคุณแค่อ่านแล้วก็ลืมมันไปใช่ไหมล่ะครับ?

ส่วนตัวผมแล้ว กลยุทธ์ที่ผมแชร์ให้คุณในบทความนี้เป็นกลยุทธ์ที่ผมใช้อยู่ตลอดครับและก็ได้ผลดีด้วย

ผมหวังว่าในช่วงเวลาเร็วๆนี้ผมจะสามารถทำกรณีศึกษา (case study) มาให้กับคุณได้อ่านแล้วก็เรียนรู้ไปด้วยกันครับ

ผมจะรออ่านในคอมเม้นนะครับ สำหรับวันนี้ขอให้โชคดีและรวยๆๆๆครับ!

อัพเดท: บทความตัวนี้ผมได้เขียนไปสักพักแล้ว ถ้าตรงไหนขาดตก บกพร่อง สามารถทักผมเข้ามาได้เลยนะครับ ตอนผมเขียน 2 ปีก่อนกับผมตอนนี้ รู้สึกว่าไม่ค่อยเหมือนกันเลย 555

Joe Jitnarin
การทำโฆษณา Google Ads ให้ได้ผลจริง

Leave a Comment

Your email address will not be published.

Previous reading
7 ความผิดพลาดที่เซียน Google Ads ก็ยังทำ (คุณก็อาจทำเหมือนกันนะ!)
Next reading
กลยุทธ์ประมูลราคาโฆษณาเฟสบุ๊ค (ที่เราใช้ใน ZOZAV)