โฆษณา Facebook แค่ไลค์ละ ฿0.20 ทำยังไงมาดูกัน (Case Study)

ผมพูดเกี่ยวกับเรื่องโฆณาใน Facebook แล้วก็แชร์ประสบการณ์ และความรู้ที่ผมมีให้กับเพื่อนๆพี่ๆน้องๆในเว็บและใน Thaiseoboard.com มาแล้วนะครับ
แต่ปัญหาก็คือหลายๆคนยังไม่เห็นเลยว่าผมทำได้จริงเหมือนที่ผมพูดหรือเปล่า? ผมเลยอยากจะมาเขียนโพสนี้ขึ้นมาครับให้หายความข้องใจกันไปเลย และจะช่วยเป็นแนวทางให้คนที่อยากจะประสบความสำเร็จกับโฆษณาใน Facebook ด้วยครับ
ในเวลา 2 เดือนที่ผ่านมาผมและทีมของผมได้ทำโฆษณาให้กับตั้งแต่บริษัท SME เล็กๆไปจนถึงบริษัทใหญ่ที่มีลูกจ้างหลายพันคนครับ
นี้คือผลลัพท์บางส่วนที่เราได้มาครับ ไม่ได้ดีที่สุดนะครับ แต่ล่าสุดครับ เพราะว่าผมคงไม่อยากจะเอาโฆษณา 3 ปีก่อนมาให้ดู เพราะ Facebook เปลี่ยนไปเยอะแล้วครับ เทียบกันไม่ได้เลย
เพจไลค์ — เพจไลค์ของจริงครับไม่ใช่ปลอมอย่างที่ไปปั้มมา
วิดีโอวิว — ทุกๆวันนี้ video วิวเริ่มแพงขึ้นเรื่อยๆครับ แต่ก็ยังแค่ 6 สตางค์
คนดูเว็บ (landing page view) — คนที่ทำโฆษณาคงจะรู้ครับว่าไอ่เจ้านี้มันแพงแค่ไหน

ต้องเข้าใจก่อนนะครับว่าอันนี้ผมไม่ได้จะเอามาอวดแต่ผมแค่อยากจะให้คุณรู้ว่าผมทำได้จริงๆ ไม่ได้ดีแต่พูดครับ เพราะผมไม่ใช่โค้ชครับ ผมอาจจะสอน และเรียบเรียงคำพูดไม่เก่งเท่าไหร่ แต่ผมทำได้จริงและสิ่งที่ผมเอามาแชร์ล้วนมาจากประสบการณ์ของผมทั้งนั้นครับ
วันนี้ผมจะมา Focus ที่ตัวเพจไลค์ก่อนเลยครับว่าทำยังไงให้ได้เพจไลค์ราคาถูกๆ แต่มีคุณภาพจากกลุ่มเป้าหมายของคุณจริงๆ
บทความนี้มีอะไรบ้าง
มาเริ่มกันเลยดีกว่าครับ
โจทย์ที่ผมได้มาจากลูกค้าก็คือ
- ทำโฆษณาสร้าง brand awareness ให้องค์กรณ์มีคนรู้จักมากขึ้น
- โปรโมทให้ได้ไลค์อย่างน้อย 1,000 ไลค์ภายใน 10 วัน
ฟังดูแล้วไม่ค่อยยากเท่าไหร่ใช่ไหมล่ะครับ? แต่ปัญหาก็คือลูกค้าของผมกำลังมีปัญหาเรื่องการเงิน และไม่มีงบเยอะครับ
แรกๆผมก็ไม่กล้ารับเท่าไหร่เพราะตอนลูกค้าบอกมาว่างบเท่าไหร่ ผมรู้ทันทีเลยว่าไม่มีงบให้ทดลองตลาดก่อนแน่เลย ผมเลยกลัวว่าจะไม่สำเร็จ
แต่เป็นเพราะว่าลูกค้าของผมเป็นองกรณ์ช่วยน้องหมา และแมวจรจัดและผมเป็นคนรักหมา และแมวอยู่แล้ว ผมก็เลยตกลงทำครับ แต่ผมขออนุญาติใช้ข้อมูลมาทำ Case Study บรรดารใจคนที่ทำโฆษณาเหมือนกันครับ ลูกค้าตอบตกลงแต่ขอให้อย่าเปิดเผยเพจครับ ผมเลยต้องเบลอเอาไว้
เตรียมตัวเพื่อจะยิงโฆษณาภายใน 24 ชั่วโมง
เพราะว่าลูกค้าของผมค่อนข้างที่จะรีบครับเพราะว่ามี Event อยากจะให้คนมาเข้าเยอะๆผมเลยต้องรีบให้ลูกทีมเริ่มทันที
อันดับ #1: เข้าไปดูฐานข้อมูลใน Audience insight tool
ผมอยากจะเข้าไปดูว่าฐานข้อมูลกลุ่มลูกค้าที่ชอบหมา และแมวในประเทศไทยนั้นเยอะแค่ไหน ผมเลยใช้ Audience Insight Tool เข้าไปดูครับ อันนี้คือการดูคร่าวๆก่อนที่จะเจาะลึกลงไปครับ
เท่าที่เห็นครับว่าคร่าวๆจะมีคนชอบหมากับแมวอยู่ 15–20 ล้านคนในประเทศไทย นั้นก็แปลว่าหาคนที่คลั่งหมาและแมวจริงๆสัก 1,000 คนในราคาที่ถูกแสนถูก มันไม่ยากอย่างที่คิดแล้วครับ
ผมลองเข้าไปดูเปอร์เซ็นว่าคนจังหวัดไหนบ้างที่ชอบหมากับแมวเยอะที่สุด อันดับหนึ่งโดยมีถึง 33% ของประเทศไทยคือกรุงเทพมหานครครับ
รองลงมาก็คือเชียงใหม่กับนครราชศรีมาครับ
เพราะฉนั้นผมเลยคิดว่าถ้าผมอยากจะได้ไลค์ที่มีคุณภาพ ผมคงต้องเจาะจงแค่จังหวัดเดียวครับนั้นก็คือ “กรุงเทพมหานคร” เพราะว่าจังหวัดอื่นมีน้อยเกินจนไม่คิดว่าจะคุ้มครับ
หลังจากนั้นผมก็เข้ามาดูว่าคนที่อยู่ในกลุ่มความสนใจ “หมา” และ “แมว” นี้เขาชอบเพจอะไรบ้าง
เราจะเห็นว่า Top 3 ยังไม่เกี่ยวกับหมาและแมวเพราะฉะนั้นยังถือว่ายังกว้างไปครับใช้คำว่า “Dog” หรือ “Cat” ไม่ได้
ระบบของ Facebook นี้จะเสียอย่างก็คือถ้าคุณไปเผลอกดไลค์รูปของสิงโต Facebook ก็จะจัดว่าคุณเป็นคนที่มีความสนใจเรื่องสิงโตครับ ดังนั้นหลายๆคนที่เลือก Targeting ไม่เป็นก็เลือกคิดว่าโฆษณาไม่ได้ผล แต่จริงๆแล้วอาจจะเลือก “ ความสนใจ” ไม่ถูกครับ
อย่างที่ผมบอกไปก็คือคำว่า “Dog” หรือ “Cat” มันกว้างไปครับ คนที่ไม่ชอบหมากับแมวขนาดนั้นก็สามารถกดไลค์ได้เหมือนกัน เราต้องการคนที่ชอบและคลั่งไคร้จริงๆ คนที่เรียกตัวเองว่าเป็น “ทาสหมา” หรือ “ทาสแมว” อะไรประมาณนั้นครับ
อันดับ #2: คนหา “ความสนใจ” ที่สามารถใช้ได้จริง
อย่างที่ผมบอกไปครับคำว่า “หมา” หรือ “แมว” มันกว้างเกินไปครับ ผมก็เลยต้องหาความสนใจที่รวมแต่ทาสหมาและแมว(ผมด้วย ฮ่าๆ)อยู่เท่านั้น
ผมคิดว่าคนที่รักหมาและแมวต้องสนใจเรื่องฝึกเขาแน่นอนเลยครับ เพราะผมก็เป็นเหมือนกัน ผมเลยใช้คำว่า “Dog Training” ดูครับ
ผลปรากฎว่า Top 8 เกี่ยวกับหมาและแมวหมดเลย ผ่านฉลุยครับ
เราได้มาคำหนึ่งแล้วผมก็จะจดลงไปใน Evernote ของผมครับ
ผมจะไปหามาต่ออย่างน้อยให้ได้ 5 ความสนใจที่มีอย่างน้อยๆเลยคือ Top 5 เป็นเพจที่เกี่ยวกับหมาและแมวครับ
หลังจากหามาได้พอสมควรแล้วก็เก็บเอาไว้ใน Note ให้ดีๆนะครับเพราะเราจะได้ใช้แน่นอน เท่าที่การเตรียมตัวก็เสร็จแล้วครับ
ขั้นตอนการสร้างโฆษณาบน Facebook
หลังจากเตรียมตัวเสร็จเรียบร้อยแล้วเราก็มารีบสร้างโฆษณาเลยครับ เพราะไม่อย่างนั้นจะไม่ทันรันโฆษณาภายใน 24 ชั่วโมงครับ
ลูกค้าผมเขามีวิดีโออยู่แล้วครับก็เลยไม่ยากเท่าไหร่ สิ่งที่ผมต้องทำก็คือเปลี่ยนแปลงวิดีโอนิดหน่อยแล้วก็ใส่ Subtitle เข้าไปครับ และมีรูปอีกเยอะแยะเลยครับ
อันดับ #1: เลือกรูปแบบการโฆษณา
ขั้นตอนนี้ผมไม่ต้องทำอะไรมากครับเพราะว่าลูกค้าผมมีรูป และวิดีโอมาเยอะอยู่แล้วเพราะฉะนั้นผมเลยไม่ห่วงว่าต้องใช้รูปแบบไหนดีและแต่ละรูปก็ถือว่าดีมากเลยทีเดียวครับ
รูปอะไรแบบนี้เป็นต้นครับ
ผมกะจะเอารูปอื่นลงด้วยแต่ค่อนข้างที่จะ Graphic ไปหน่อยผมเลยตัดสินใจไม่ลงดีกว่าครับ ฮ่าๆ
อันดับ #2: สร้างกลุ่มลูกค้า (Audience)
ตัวนี้ค่อนข้างที่จะสำคัญที่สุดเลยก็ว่าได้ครับ เพราะฉะนั้นผมจะค่อนๆไปช้าๆนะครับ ผมจะพยายามอธิบายทุกๆอย่างที่ผมทำ
- จังหวัดและพื้นที่ — ใส่แค่กรุงเทพเพราะว่าที่เราเห็นกันไปตอนแรกคือว่ากลุ่มเป้าหมายไปกระจุกอยู่ที่กรุงเทพที่เดียวถึง 33% เพราะฉะนั้นผมเลย Target แค่กรุงเทพเท่านั้นครับ
- อายุ — อันนี้ไม่ต้องห่วงครับ ปล่อยให้ Facebook รันโฆษณาไปก่อนเลยครับ เราค่อยมาดูว่ากลุ่มไหนได้ผลดีที่สุดแล้วค่อยเปลี่ยนทีหลัง กฎของการทำโฆษณาคืออย่าคิดไปเองครับ ให้ข้อมูล และตัวเลขเป็นคนบอกดีกว่า
- เพศ — เหมือนกับอายุครับอย่าไปเดาว่าเพศหญิงหรือชายใครจะสนใจโฆษณาคุณมากกว่ากัน ผมเคยเจอสินค้าบางตัวอย่างแหวนงี้อะครับ คิดว่าจะไม่มีผู้ชายซื้อแต่ก็มีเยอะจนน่าตกใจเลยครับ
- ภาษา — อันนี้ก็เหมือนกันครับ อย่าไปห่วงเพราะเราไม่รู้ครับว่ากลุ่มลูกค้าของเราตั้ง Facebook ให้เป็นภาษาอะไร นอกจากคุณจะ Target คนที่พูดภาษาอังกฤษไม่ได้เลย อันนั้นก็ว่ากันอีกทีหนึ่ง
ตอนนี้หลังจากใส่ “ความสนใจ” ไปบางส่วนแล้วจะเห็นว่ามีคนสนใจอยู่ “83,000” คนครับ
แต่ผมก็อยากจะลองว่า “มันยังกว้างไปอยู่หรือเปล่า?” ด้วยการกด “Narrow Audience” เพื่อจะบอกให้ Facebook กลุ่มลูกค้าต้องมีความสนใจนี้ด้วยถึงจะเป็นกลุ่มเป้าหมายของเราได้
ผมใส่คำว่า “dog food” เข้าไปเพราะว่าอยากจะให้เหลือแต่คนที่เลี้ยงหมาจริงๆครับ เพราะคนที่มีความสนใจข้างบนอาจจะไม่ได้เลี้ยงหมาก็ได้ เพียงแค่ชอบเฉยๆ จำได้ใช่ไหมครับว่าเราต้องการคนที่ “เป็นทาสหมา” และ “ทาสแมว” จริงๆ
ใส่เข้าไปเรื่อยๆครับให้ได้อย่างน้อย 150,000 คน “เพราะว่าถ้าเป็นกลุ่มลูกค้าที่มีจำนวนน้อย ราคาโฆษณาจะแพงครับ”
เลือก Placement ว่าจะลงตรงไหนดี
ผมแนะนำให้เลือกแต่ Mobile Only นะครับถ้าอยากให้ค่าโฆษณาราคาถูกเพราะว่า Desktop ส่วนใหญ่จะแพงมากครับ
ในโฆษณานี้ผมก็เลือกแต่แค่มือถือครับ
และส่วนจะที่ว่าจะเอาลงที่ไหนให้เลือกทุกอย่างยกเว้น “Instagram” ครับ เพราะว่าที่ผมทำๆมา Instagram จะเป็นที่ๆคนไม่ค่อยสนใจโฆษณาเท่าไหร่ มันราคาถูกจริงแต่มันจะได้ผลแค่พวกโรงแรม หรือร้านอาหารเท่านั้นครับ (จากประสบการณ์ของผมนะครับ ย้ำๆ)
ตั้งเวลา และเลือกราคา Bid
- ราคา Bid — ตอนนี้ยังไม่ต้องไปสนใจครับ ลองให้ Facebook รันโฆษณาไปก่อนเพราะว่าถ้าคุณไปตั้งต่ำเกิน บางทีโฆษณาอาจจะไม่รันเลยก็ได้ครับ
- Time Zone — ตัวนี้สำคัญครับเพราะผมเคยลืมตั้งให้เป็น Bangkok แล้วตารางเวลาที่ตั้งไว้ไม่ได้ผลเลย ฮ่าๆ
- เวลาโฆษณา — ผมจะตั้งเฉพาะตอนที่ผมคิดว่ากลุ่มลูกค้าของผม Active เท่านั้นครับ
เท่านี้ก็เป็นอันที่เรียบร้อยแล้ว สำหรับการสร้างโฆษณา ส่วนอื่นผมขอไม่เปิดเผยนะครับพวกตัวโฆษณาและรายละเอียดอย่างอื่นเพราะลูกค้าขอไว้ครับ
ดูผลลัพท์แล้วค่อยๆปรับเปลี่ยนไป
ตอนนี้ก็ไม่มีอะไรมากครับ นอกจากว่าดูว่ากลุ่มเป้าหมายมีปฎิกิริยายังไงกับโฆษณาครับ ถ้าเห็นว่ากลุ่มเป้าหมายชอบหรือไม่ชอบอะไรหรือสงสัยว่าเขาอาจจะชอบอะไร ให้สร้าง Ad Set ใหม่ขึ้นมาเพื่อที่จะทดลองครับ อย่าเปลี่ยน Targeting ใน Ad Set เดิมนะครับ ต้องสร้างอันใหม่ขึ้นมาเท่านั้น เพราะจะได้เอามาเปรียบเทียบกันได้ครับ
ลองปล่อยให้โฆษณารันสัก 2 ถึง 3 วันครับแล้วค่อยปรับเปลี่ยนอะไร ไม่งั้นจะถือว่าเปลี่ยนเร็วเกินและยังไม่ได้ข้อมูลที่แท้จริงครับ เช่นถ้ากลุ่มเป้าหมายที่แท้จริงของคุณกำลังหลับอยู่ แล้วคุณปรับเปลี่ยนโฆษณาก่อนที่เขาจะตื่นมาเห็น คุณก็จะเสียโอกาสตรงนั้นไปได้ครับ
ย้ำอีกรอบนะครับ ปล่อยให้รันสัก 2–3 วันก่อนแล้วค่อยปรับเปลี่ยนครับ
สิ่งที่ได้ภายใน 1 อาทิตย์
ผมบอกเลยนะครับว่าโฆษณานี้ผมกับลูกทีมใส่ใจลงไปเยอะครับ เงินนี้ไม่ค่อยได้หรอกครับเพราะว่าพวกเราได้ดีไซน์หน้าปกและทุกๆอย่างในเพจให้หมดเลยครับ
อย่างที่เห็นครับว่าผลลัพท์ที่ได้ก็คือ ฿0.23 บาทต่อ 1 Like ภายใน 4 วันครับ เราใช้เทคนิคที่ผมแชร์ไปข้างบนนี้ทั้งหมดนะครับไม่มีอะไรเปลี่ยนเลย
และตอนนี้เพจของลูกค้าก็เป็นแบบนี้แล้วครับ
ส่วนของเงินบริจาคผมยังไม่แน่ใจครับว่าได้เยอะขึ้นหรือเปล่าแต่ผมกับลูกทีมก็หวังครับว่าจะได้เยอะๆ เพราะจะได้เอาไปช่วยน้องหมาและน้องแมวที่ต้องการความช่วยเหลือ
สำหรับ Case Study นี้ก็ถือว่าเสร็จแล้วครับ ถ้ามีโอกาสก็อยากจะร่วมงานกันอีกเพื่อจะได้ช่วยน้องหมาและน้องแมวได้ครับ
สิ่งที่เราควรจะทำได้ดีกว่านี้
ไม่ว่าจะเป็นแคมเปนโฆษณาไหนเราก็จะพยายามพัฒนาฝีมือเราไปเรื่อยๆครับ บางครั้งเราก็ต้องมานั่งคิดกันเป็นทีมว่าเราควรจะทำยังไงให้สามารถพัฒนาเข้าไปได้อีกครับ
นี้คือส่วนที่เราคิดว่าเราควรจะพัฒนาอีก
- สร้างวิดีโอที่ดีกว่านี้ — วิดีโอที่ได้มาค่อนข้างจะไม่ประติดประต่อครับ ถ้าอยากได้ที่มันดีๆ คงต้องไปถ่ายเอง
- สร้างเรื่องราว (Story) — อย่างที่บอกไปครับว่า Story ยังไม่ค่อยดีเท่าไหร่ คราวหน้าถ้ามีโอกาสและเวลา ต้องนั่งคิด story ขึ้นมาครับ
- ใช้ budget ที่เยอะกว่านี้หน่อย — เรากลัวที่จะเสียเงินเกินไปครับ ทำให้ได้ Reach และ Impressions น้อยไปหน่อย คราวหน้าต้องตั้ง Budget เยอะๆไปเลย
ผมเชื่อมั่นครับว่าถ้าเรามีเวลาเยอะกว่านี้ ผลคงจะออกมาดีกว่านี้ แต่ไม่เป็นไรเราทำสุดความสามารถแล้วจริงๆครับ
ถ้ามีคำถามอะไร สามารถถามผมได้ตลอดเลยนะครับ ผมจะพยายามตอบทุกๆคำถามให้ดีที่สุดครับ
โพสที่มีคนอ่านเยอะที่สุด:
- จาก 2 ถึง 4,227 ไลค์ (ละ ฿0.11) ทำยังไงมาดูกัน (โฆษณา Facebook)
- 87 สถิติที่คุณต้องรู้ (ถ้าทำโฆษณาใน Facebook)
- 43 ตัวอย่างโฆษณา Facebook ที่ (เจ๋งจนต้องร้องขอชีวิต) สำหรับปี 2018
- โฆษณา Facebook: 21 ไอเดียเจาะกลุ่มลูกค้าเด็ดๆ (ที่คุณอาจคิดไม่ถึง)
- Facebook Ads vs. Adwords อันไหนเหมาะกับธุรกิจคุณมากกว่ากัน?
สำหรับวันนี้ผมขอลาด้วยการใช้รูปของน้องหมาผมที่ชื่อ “แอนนี่” กับ “ลิลลี่” ฝาแฝดที่ผมรับมาเลี้ยง ที่มูลนิธิไปเก็บได้ที่ดอยสะเก็ด เชียงใหม่ครับ
- มาอ้อนอยากจะกินขนมตอนที่ผมทำงานครับ ฮ่าๆ
- วิธีทำ SEO ให้ keywords ติดอันดับสูงๆ บน Google - September 29, 2022
- วิธีใช้ Instagram Hashtags อย่างเซียน แบบละเอียด (ฉบับเต็ม) - September 22, 2022
- Multi-Channel Online Marketing: คืออะไร ใช้เอาชนะคู่แข่งได้ไหม? - September 15, 2022
Leave a Comment