วิธีทำ Facebook Remarketing อย่างเทพ ใครๆก็ทำได้

การทำ Remarketing ผมถือว่าเป็น 1 ใน 3 ของสิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนที่ทำโฆษณาเลยก็ว่าได้ครับ เพราะว่าคนที่เห็นสินค้าของคุณจะมีน้อยมากครับที่จะซื้อทันที และอย่างเป็นเว็บขายของออนไลน์ (eCommerce) งี้อะครับ
ถึงแม้ลูกค้าจะเอาของใส่ตระกร้าแล้ว ก็ยังมีโอกาสถึง 78% ที่จะทิ้งตระกร้าแล้วก็ออกเว็บของคุณไปและไปซื้อจากเว็บอื่น (อ่านเพิ่มเติมที่ Listrak)

ด้วยเหตุผลนี้ครับ ทำให้นักการตลาดต้องมาคิดว่าทำยังไงดีถึงจะเพิ่มยอดขายด้วยการเอาคนพวกนั้นกลับมาซื้อของได้
เขาจึงคิดว่า “เห้ย งั้นลองโฆษณาให้กับคนก่อนๆ หลายๆรอบดู ตื้อมันแมร่งเลย” การโฆษณาแบบ Remarketing จึงเกิดขึ้นครับ
บทความนี้มีอะไรบ้าง
ในโพสต์นี้ผมจะมาพูดถึงเรื่องพวกนี้ครับ
- Remarketing คืออะไร มีประโยชน์ต่อธุรกิจคุณหรือเปล่า
- วิธีการทำ remarketing ด้วยตัวเอง
- สรุปทั้งหมด
เราไม่รีรอช้าแล้วนะครับ เริ่มกันเลยดีกว่า
Facebook Remarketing คืออะไร?
Remarketing ถ้าแปลกันตรงๆตัวเลยก็คือการกลับมาโฆษณาอีกครั้งครับ แล้วมันแปลว่าอะไรในทางการตลาดงั้นเหรอครับ?
คุณต้องเข้าใจนะครับว่าลูกค้าที่เห็นโฆษณาของคุณแล้วจะซื้อเลยทันทีจะมีอยู่แค่ 1%–2% เท่านั้น โดยเฉพาะสินค้าที่มีราคามากกว่า 99 บาท ขึ้นไปยิ่งมีเปอร์เซ็นที่จะซื้อน้อยลงไปอีก
คนเราที่ไม่ซื้อของในทันที อาจจะเกิดขึ้นจากหลายปัจจัยครับ
- ตอนนั้นยังไม่พร้อม
- ตอนเห็นโฆษณากำลังเดินทางอยู่
- ลูกร้องไห้ ยังไม่มีอารมย์จะดู
- ทะเลาะกันแฟน
อะไรอีกเยอะครับ
เพราะฉะนั้น การทำ remarketing เลยเกิดขึ้นครับ remarketing ก็คือการที่เราเอาโฆษณาของเราอีกโฆษณาหนึ่งไปให้ลูกค้าดูครับ เช่น ลูกค้ากดเข้ามาจะซื้อของออนไลน์ของคุณ แล้วเกิดเปลี่ยนไป หรือ อะไรก็แล้วแต่ในเหตุผลข้างบน เราก็สามารถยิงโฆษณาอีกตัวที่บอกว่า “ลองหน่อยไหม ลดราคาอีก 10% นะ”, อะไรแบบนี้เป็นต้นครับ
เอาง่ายๆเลย remarketing คือการ”ตื้อ”ลูกค้าดีๆนี้เองครับ
สมมุติว่าคุณเข้าไปดู Analytics ของคุณแล้วเห็นว่ามีคนเข้ามาในเว็บของคุณเยอะและเห็นว่ามีคนจะซื้อของจากคุณเยอะมาก แต่ไม่รู้ทำไมเขาถึงไม่ซื้อสักที
คุณเลยทำโฆษณา Remarketing ขึ้นมาเพื่อจะยิงไปหาคนที่เข้ามาแล้วไม่ซื้อเพื่อจะเสนอคูปองส่วนลดให้เพื่อจะให้เขาซื้อสินค้าที่อยู่ในตระกร้าของเขาอยู่แล้วเป็นต้นครับ
ตัวอย่างของโฆษณา Facebook Remarketing

ลองคิดตามนะครับว่าคุณเข้าไปในเว็บ Cole Haan กำลังดูรองเท้าเล่นๆ ไม่ได้คิดอะไรมากและคุณเห็นรองเท้าบูทคู่นี้แล้วเกิดสนใจขึ้นมา แต่!! ราคาแพงไปหน่อย คุณก็เลยปิดหน้าต่างไปและก็ไปทำอะไรของคุณ
คุณเข้าเช็คเฟสบุ๊คอีกทีหลังจากทำอะไรเสร็จหมดแล้ว คุณเห็นโฆษณาของ Cole Haan เกี่ยวกับรองเท้าบูทที่คุณดูพอดีเลย และก็เขียนว่า “ลด 40%” จากราคาเดิม
คุณก็เลยกด “ซื้อ” เลยทันที
เพราะว่าคุณเคยเห็นรองเท้าบูทนี้และอาจจะเอาใส่ตระกร้ามาแล้ว คุณเลยมีโอกาสที่จะซื้อสูงกว่าคนที่ไม่เคยเห็นบูทนี้เลยและกำลังจะทำความเข้าใจว่าบูทนี้เหมาะกับเขาหรือเปล่าครับ
ข้อดี 3 อย่างในการทำ Remarketing ในเฟสบุ๊ค
- โฆษณา Remarketing ของคุณจะส่งตรงไปหน้า Feed ของกลุ่มเป้าหมายที่สนใจสินค้าของคุณอยู่แล้ว
- Remarketing ในเฟสบุ๊คจะไม่โดน Ad Blocker ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ในการทำโฆษณาแบบ display ในตอนนี้ครับ
- คุณมีข้อมูลเกี่ยวกับกลุ่มเป้าหมายที่คุณจะยิงโฆษณาให้อยู่แล้ว ทำให้มีโอกาสที่จะทำให้คนกลุ่มนั้นซื้อของจากคุณมากขึ้นกว่าเดิม
หลังจากเข้าใจตรงกันแล้วว่าโฆษณา Facebook Remarketing เป็นยังไง เรามาดูกันเลยครับว่าวิธีการสร้างโฆษณา Facebook Remarketing มันเป็นยังไง คุณสามารถทำได้เองและไม่ต้องเสียเงินไปจ้างใครเลยครับ
วิธีทำ Facebook remarketing ด้วยตัวเอง (Step-by-step)
เรามาดูกันเลยครับว่าควรจะทำยังไง ก่อนอื่นเลยถ้าคุณจะทำ Facebook Remarketing ให้กับคนที่เข้าเว็บของคุณ คุณต้องลง Pixel ในเว็บเพื่อให้ Facebook ได้บันทึกพฤติกรรมของคนเข้าเว็บของคุณก่อนนะครับ ถ้าคุณยังไม่ได้อ่านบทความของผมเกี่ยวกับ Facebook Pixel อ่านได้ที่นี้เลยครับ: Lookalike Audience ตัวที่ทำให้คุณโตจาก 5 หมื่น ถึง 1 ล้าน
เริ่มกันเลยครับ
ขั้นตอนที่ #1: เปิด Facebook ของตัวเองมาก่อนนะครับ แล้วก็คลิกตรงนี้ครับ
ขั้นตอนที่ #2: แล้วก็จะเจอหน้าต่างแบบนี้นะครับ กดคลิกไปตรงที่คำว่า “audience”
ขั้นตอนที่ #3: แล้วก็กดตรงคำว่า “create a custom audience”
ก่อนจะไปขั้นตอนต่อไป ผมขออธิบายก่อนนะครับว่าแต่ละออฟชั่นนี้มันใช้ยังไง
Customer file: ใช้ฉะเพราะตอนที่คุณมีอีเมลล์ลูกค้าหรือเบอร์โทรอยู่แล้วนะครับ เพราะว่า Facebook จะยิงโฆษณาไปให้คนที่ใช้อีเมลล์หรือเบอร์โทรที่ตรงกับที่คุณกรอกลงไปครับ
Web traffic: หรือคนที่เข้าไปในเว็บครับ ถ้าคุณมีเว็บไซต์อยู่แล้วและอยากจะให้โฆษณายิงไปหาคนกลุ่มนั้นครับ
App Activity: อันนี้ใช้สำหรับคนที่มีแอป มือถือ ครับ โฆษณาจะยิงไปหาคนที่เปิดแอปหรืออะไรที่เราระบุเอาไว้ครับ
Offline activity: อันนี้คล้ายๆกับอันแรกเลยครับ ต่างกันนิดหน่อยที่ว่า Facebook บอกเจาะจงว่าลูกค้าเจอเราข้างนอก
Engagement: อันนี้จะยิงโฆษณาไปหาคนที่กดไลค์หรือคอมเมนอะไรในเฟสหรือ Instagram คุณครับ
สำหรับผม ผมจะเลือก web traffic ครับ เพราะผมจะเจาะจงไปที่คนที่มาอ่านโพสต์ของผมแล้วเท่านั้น
ขั้นตอนที่ #4: หลังจากนั้นผมก็กรอกไปว่าผมต้องการยิงโฆษณาให้กับคนที่ทำอะไรบนเว็บของผม ผมใส่ไปว่าคนที่อยู่ในหน้าโพสต์นั้น ต้องอยู่นานพอสมควรกว่าผมจะไป remarket เขา
สำหรับคนที่ไม่ได้ลงในเว็ป แค่นี้ก็เป็นอันเสร็จเรียบร้อยแล้วครับ แค่ตอนเวลาที่สร้างโฆษณาให้เลือก “audience” ที่เราเซฟไว้ครับ
ต่อไปเราจะมาพูดถึงเรื่องเทคนิคและกลยุทธ์อะไรที่น่าสนใจเพื่อจะทำให้คุณได้ดึงลูกค้าเข้าร้านเยอะๆครับ
3 กลยุทธ์ในการทำ Remarketing ให้ได้ผล
การที่ทำโฆษณา Facebook Remarketing ก็เหมือนการทำโฆษณาแบบอื่นครับ ถ้าไม่มีแผนหรือกลยุทธ์เข้าไปก่อนก็จะมีโอกาสที่ล้มเหลวได้เยอะครับ เพราะฉะนั้นเรามาดูกันครับว่ากลยุทธ์ที่คุณสามารถนำเอาไปใช้กับโฆษณา Facebook Remarketing ของคุณได้คืออะไรบ้างครับ
กลยุทธ์ Remarketing #1: เลือกเวลาโฆษณาให้เหมาะสม
มาจนถึงจุดนี้แล้ว ผมคิดว่าคุณคงจะเข้าใจว่าลูกค้าคุณเป็นใครระดับหนึ่งแล้วใช่ไหมครับ?
ถ้าลูกค้าคุณเป็นคนทำงานแล้วยุ่งมากๆ หรือที่ทำงานไม่อยากให้เล่น Facebook คุณต้องหาเวลาที่เหมาะสมเพื่อจะยิงโฆษณาให้เขาเห็นครับ เช่น เวลาหลังเลิกงาน หรือ วันหยุดพักผ่อน เป็นต้นครับ
อย่างที่ผมบอกไปตอนแรกครับ ถ้ากลุ่มเป้าหมายของคุณเขายังไม่อยู่ในอารมย์หรือสถานการณ์ที่จะซื้อได้ เช่น กำลังป้อนนมลูกอยู่ จะตื้อยังไงเขาก็ไม่ซื้อหรอกครับ
ผมไปอ่านผลการทดลองของ Vitrue เกี่ยวกับเรื่องที่ว่าตอนไหนคือเวลาที่คนใช้เฟสบุ๊คได้ active ที่สุด

เราจะเห็นว่าช่วงเวลา 3 โมงเย็นเป็นช่วงเวลาที่มีคนเล่น Facebook เยอะที่สุดใช่ไหมครับ? นั้นแหละครับคือเวลาที่คุณควรจะโฆษณามากที่สุดครับ
กลยุทธ์ Remarketing #2: ใช้ Lookalike audience ให้เป็น
Lookalike audience แปลตรงๆเลยก็คือกลุ่มคนที่เหมือนกับลูกค้าของคุณครับ อันนี้เราต้องเชื่อใจ Mark Zuckerberg ให้ไปตามหาคนที่มีอะไรคล้ายๆกับลูกค้าปัจจุบันคุณอยู่ครับ
พูดง่ายๆเลยก็คือ ถ้าคุณมีกลุ่มลูกค้าอยู่กลุ่มหนึ่งและคุณไม่รู้ว่าจะหาเพิ่มยังไงดี คุณก็อาจจะเอาเบอร์โทรศัพท์หรือข้อมูลที่ Facebook Pixel ได้เก็บเอาไว้เอามาให้ Facebook นำไปประมวนผลว่าคนที่มีอะไรเหมือนๆกับกลุ่มลูกค้าของคุณนี้คือใคร
มีอะไรเหมือนๆในที่นี้คือการใช้ชีวิต สถานะการเงิน หรือ สถานะภาพสมรสครับ

เราสร้าง lookalike audience ได้ไม่ยากครับ ใส่ชื่อ “custom audience” ที่เราสร้างไปเมื่อกี้ แล้วก็เลือกประเทศที่จะเจาะจง แค่นั้นก็เรียบร้อยครับ
การทำ Lookalike audience ไม่ได้ยากครับถ้าดูผิวเผิน แต่จะทำ Lookalike audience อย่างมีประสิทธิภาพจริงๆ คุณต้องมีวิธีทำครับ ซึ่งผมแชร์ความรู้ในบทความนี้ให้คุณอ่านได้ฟรีเลยครับ: Lookalike Audience ตัวที่ทำให้คุณโตจาก 5 หมื่น ถึง 1 ล้าน
ที่ผมบอกว่าคุณต้องทำ Lookalike audience ให้เป็นเพราะว่าการทำ remarketing จะดีก็ต่อเมื่อคุณใช้มันไปพร้อมๆกับ Lookalike audience ครับ
Lookalike audience จะทำให้คุณเข้าถึงคนมากกว่าที่คุณเคยเป็นอยู่หลายเท่ามากครับ ลองคิดดูนะครับว่าถ้าคุณมีฐานลูกค้าอยู่ 200 คน ถ้าคุณทำ Lookalike audience ขึ้นมา คุณจะสามารถขยายฐานลูกค้า 200 คนนี้ให้กลายไปเป็น 2,000, 20,000 หรือ 200,000 คนก็ได้ขึ้นอยู่กับขนาดของตลาดที่คุณกำลังจับอยู่ครับ
กลยุทธ์ Remarketing #3: เอาข้อเสนอดีๆมาล่อ
การทำ Remarketing อย่างที่ผมบอกไปก็คือการตื้อลูกค้าให้ซื้อใช่ไหมล่ะครับ? ลูกค้าที่เราไปทำ remarketing ก็คือคนที่กำลังจะซื้อแต่ก็ยังตัดสินใจไม่ได้สักทีครับ เราเลยต้องใช้ตัวช่วยสักหน่อย อย่างเช่น เสนอคูปองส่วนลด, บัตรกำนัน หรือแม้แต่ส่วนลดธรรมดาให้กับคนที่มาดูเว็บหรือเข้าร้านคุณมาร้านหลายรอบแล้ว แต่ไม่ตัดสินใจซื้อสักที
คนที่เขาไม่ซื้อทันที ไม่ได้แปลว่าเขาอาจจะไม่ซื้อเลยครับ เพราะเราก็รู้ๆกันอยู่ว่าตอนนี้การขายของออนไลน์มีการแข่งขันอยู่เยอะมากครับ ลูกค้าของคุณอาจจะกำลังหาที่ซื้อที่ดีที่สุดก็ได้ครับ ถ้าคุณให้ส่วนลดหรือบัตรกำนันให้กับเขา เขาอาจจะตัดสินใจซื้อจากคุณก็ได้ครับ
ยกตัวอย่างไม่กี่วันมานี้ผมลองเข้าไปดู Udemy ครับว่ามีคอร์สอะไรใหม่ๆเข้ามาที่ผมอาจจะสนใจหรือเปล่า แต่ผมก็ไม่เห็นว่ามีอะไรที่น่าสนใจ แต่มันมีคอร์สหนึ่งที่ผมตัดสินใจดูอยู่นานเลยครับ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ซื้อและออกเว็บไป
อีก 2 วันต่อมาผมเห็นโฆษณาตัวนี้ครับ

Udemy เขายิงโฆษณา Remarketing มาบอกผมว่าตอนนี้เขามีส่วนลด 30% ให้กับคอร์สเกี่ยวกับการทำโฆษณาออนไลน์ครับ
เจ๋งใช่ไหมล่ะครับ?
แต่สุดท้ายผมก็ไม่ได้ซื้ออยู่ดี เพราะผมแค่เขาไปดูว่ามีอะไรใหม่ใน Udemy เฉยๆ ครับ 555+
ตาคุณเอาไปลองแล้ว!
จำไว้นะครับว่าบางทียิงโฆษณาไปครั้งเดียวเขาอาจจะยังไม่มีปฎิกริยาอะไร ต้องให้เขาเห็นสักสองสามรอบ แต่อย่าให้เกิน 3 ครั้งครับ เพราะถ้า 3 ครั้งยังไม่ทำอะไร นั้นก็แปลว่าคนๆนี้คงไม่มีวันซื้ออะไรจากคุณแน่นอน เอาตังไปจ่ายที่คนอื่นดีกว่าครับ
ตอนทำ Remarketing ใหม่ๆ พยายาม bid ถูกๆ ไว้ครับ แล้วจับตาดูเรื่อยๆว่าโฆษณาคุณมีคนเห็นและคลิกหรือเปล่า ถ้าไม่ค่อยๆเพิ่มราคาไปทีละนิดครับ อย่าให้ Facebook เป็นคนเซ็ตให้เองเด็ดขาดครับ เพราะ Facebook เขาเป็นบริษัทโฆษณา เขาต้องอยากได้เงินให้เยอะที่สุดอยู่แล้วครับ
พยายามลองเปลี่ยนกลยุทธ์ไปเรื่อยๆครับ ถ้ามีคำถามอะไร จัดมาได้เลยครับ ผมจะพยายามตอบทุกๆคำถามเลยครับ
โพสที่มีคนอ่านเยอะที่สุด:
- จาก 2 ถึง 4,227 ไลค์ (ละ ฿0.11) ทำยังไงมาดูกัน (โฆษณา Facebook)
- (เนื้อหาปี 2022) วิธีทำโฆษณา Facebook วันละ 99 บาท แต่ได้ผลจริง (เหมาะสำหรับคนเริ่มใหม่)
- วิธีทำโฆษณา Instagram & สร้างกลุ่มเป้าหมายขั้นสูง (เนื้อหา 2022 อัพเดท)
- วิธีทำ SEO ให้ขึ้นหน้า 1 ของ Google ขั้นเทพ (สำหรับมือใหม่)
- โฆษณา Facebook: 21 ไอเดียเจาะกลุ่มลูกค้าเด็ดๆ (ที่คุณอาจคิดไม่ถึง)
- Facebook Ads vs. Adwords อันไหนเหมาะกับธุรกิจคุณมากกว่ากัน?
โชคดีและขอให้รวยๆขึ้นนะครับ!
- วิธีทำ SEO ให้ keywords ติดอันดับสูงๆ บน Google - September 29, 2022
- วิธีใช้ Instagram Hashtags อย่างเซียน แบบละเอียด (ฉบับเต็ม) - September 22, 2022
- Multi-Channel Online Marketing: คืออะไร ใช้เอาชนะคู่แข่งได้ไหม? - September 15, 2022
Comments
อาจารย์คะ
รบกวนสอบถามว่า เฟสส่วนตัวของเรามีความสนใขกีฬา โพสต์แต่เรื่องกีฬา เมืาอเราสร้างเพจขายสินค้าเช่นเครื่องสำอางค์ จะมีผลต่อฐานลูกค้าเรา ในการยิงเพจโฆษณามั้ยคะ
ตัวนี้จะมีผลแน่นอนครับ เพราะว่าระบบของเฟสบุ๊คเขาจะช่วยเราแสดงเพจให้กับคนที่คล้ายๆ กับคนที่เป็นแฟนเพจเราปัจจุบันอยู่แล้วน่ะครับ แต่ถ้าเพจมันยังมีผู้ติดตามไม่มาก ก็ไม่เป็นไรนะครับ ค่อยๆปั้นให้มันกลายเป็นเพจเครื่องสำอางได้เลยครับ
สู้ๆ นะครับ
Leave a Comment