(เริ่มทำ) โฆษณา Instagram ต้องเตรียมเงินเท่าไหร่ดี $$$

ตัวผมเองได้เริ่มทำโฆษณามาก็หลายปีแล้วนะครับ แต่ทุกๆ ครั้งที่มีโฆษณาใหม่ๆ เข้ามาเช่น Facebook, IG, Line, Shopee, Lazada มันฟังแล้วปวดหัวไปหมดครับ
เพราะว่าแต่ละตัวมันทำไม่เหมือนกันครับ และต้องทำความเข้าใจแต่ละอย่างที่แตกต่างกันไป
คำถามที่ผมยังเจอบ่อยๆ ก็คือคำถามนี้ครับ

จริงๆ คำตอบมันค่อนข้างที่จะยากนะครับ เพราะผมเองไม่รู้ว่าคนที่ถามเขาทำธุรกิจเกี่ยวกับอะไร มีประสบการณ์ในการทำโฆษณามากแค่ไหน และสินค้าของเขาราคาเท่าไหร่
อะไรพวกนี้ หลายคนมักจะคิดว่ามันไม่ใช่รายละเอียดที่สำคัญครับ แต่จริงๆ แล้วมันสำคัญมากครับในการปรับวางงบ
ผมจะยกตัวอย่างให้ดูง่ายๆ นะครับ ถ้าเพื่อนๆมีสินค้าตัวนี้

กับถ้าเทียบกันกับสินค้าอีกตัวหนึ่ง ที่ไม่มีความเหมือนกันในแค่เรื่องของราคา อย่างสินค้าตัวนี้ เพื่อนๆ คิดว่าจะเป็นยังไงครับ?

จะเห็นนะครับว่าราคาของสินค้ามันก็ไม่เหมือนกันแล้วครับ ขนาดดูจากใน Shopee.co.th ยังเห็นว่ายอดขายได้ไม่เท่ากันเลย จริงไหมครับ?
มันไม่ได้แปลว่าตัวที่ 2 มันขายดีกว่านะครับ เพราะตัวแรกที่ราคาแพงกว่าอาจจะมีกำไรที่เยอะกว่า ขายรวมๆ กันแล้วได้กำไรพอๆ กัน (อันนี้ยกตัวอย่างเฉยๆ นะครับ)
เพราะฉะนั้นมันเลยตอบยากนิดหน่อยครับ เรามาเข้าเรื่องกันเลยดีกว่าครับ จะได้ไม่เป็นการเสียเวลา
บทความนี้มีอะไรบ้าง
ปัจจัยหลักของการเตรียมเงินลงทุน
การที่เราเตรียมเงินลงทุนมาทำโฆษณา IG มันไม่เหมือนกันกับ Facebook, Google หรือ ไลน์นะครับ ผมจะบอกความลับอะไรให้อย่างหนึ่งครับ
ยิ่งมีคนทำแล้วได้ผลแค่ไหน ค่าโฆษณาก็จะแพงขึ้นไปด้วยครับ
ทำไมงั้นเหรอครับ? เพราะว่าถ้ายิ่งได้ผล คนก็จะเห็นว่าร้านนี้ขายดีหรือได้ยินมาว่าทำแล้วได้ผล ก็จะแห่กันมา คราวนี้คนที่ได้ประโยชน์ที่สุดก็คือพี่ Mark ของเรานั่นแหละครับ

คนแห่กันมา มันก็จะทำให้หน้า feed ของเราเต็มไปด้วยโฆษณาครับ จากตอนแรกๆ ที่เลื่อนๆ ลงมา เห็นโฆษณาแค่ไม่กี่ตัว ตอนนี้แทรกเกือบจะทุกโพสต์ คนเราเลยสนใจโฆษณาน้อยลงครับ เลื่อนผ่านมากขึ้นกว่าขึ้น
ประเด็นก็คือ ตอนนี้โฆษณา Instagram ยังถือว่าราคาถูกอยู่นะครับ เพราะอะไรงั้นเหรอครับ? เพราะว่ามันยังไม่ได้ผลขนาดนั้นไงครับ
ต้องเข้าใจนะครับว่าคนที่บอกว่าทำ Instagram แล้วขายของได้เป็นกอบเป็นกำ มันยังเป็นส่วนน้อยอยู่นะครับ
เพราะว่าจากธรรมชาติแล้ว Instagram ถูกสร้างมาเพื่อให้คนที่มีชื่อเสียงหรือพวก net idol ทั้งหลาย มีคนติดตามครับ

ถ้ามีคนติดตามมากๆ เขาขายของอะไรก็ขายออกครับ เพราะเขามีแฟนๆ ที่ไว้ใจและเชื่อถือเขาอยู่แล้วครับ มันเป็นเหตุผลที่ว่า Instagram ทำให้คนขายของได้เป็นกอบเป็นกำ
เพราะฉะนั้นในโพสต์นี้ ผมจะถือว่าทุกๆ คนเป็น no name เหมือนผมนะครับ คือเราไม่ได้มีชื่อเสียงอะไรมาก่อน มาเริ่มร้านธรรมดาๆ เลย ไม่มีฐานลูกค้ามาก่อน
เราจะต้องเตรียมตังเท่าไหร่ เข้าใจตรงกันเนอะครับ?

ปัจจัยที่ 1: กลุ่มลูกค้าเป็นคนกลุ่มไหน
อันดับแรกเราต้องเข้าใจก่อนนะครับว่าเราอยากจะเจาะคนกลุ่มไหน มันไม่มีหรอกครับที่ว่าเจาะคนทุกกลุ่ม เพราะคนในแต่ละกลุ่มมันมีการใช้ชีวิตและความเชื่อและการมองโลกที่ไม่เหมือนกันครับ
สมมุติบอกว่าสินค้าของคุณเป็นสินค้าตัวนี้ ที่คุณเห็นว่าขายดิบขายดีเหลือเกิน ดูใน Shopee ตอนนี้เขาก็ขายได้ 3,100+ กว่าชิ้นแล้ว

คุณเลยคิดว่าอยากจะมาเจาะคนเพิ่มเติม โดยการยิงโฆษณาให้มันกลุ่มเป้าหมายกว้างขึ้น คุณเลยเจาะคนที่ชอบใส่เสื้อผ้าแบบนี้ด้วย

คุณคิดว่าจะเป็นยังไงครับ? แน่นอนครับว่ามันต้องได้ผลไม่ดีเท่ากับเราเจาะคนที่ชอบใส่เสื้อสไตล์แบบที่เราขายแน่นอนครับ
เพราะฉะนั้นต้องรู้ก่อนครับว่าคนที่เราต้องการจะเจาะเป็นคน แล้วมาประกอบกับปัจจัยอื่น เราจะพอเห็นภาพครับว่างบที่เราต้องเตรียมมันประมาณเท่าไหร่
ปัจจัยที่ 2: สินค้าของคุณราคาเท่าไหร่
ตัวนี้ผมก็ถือว่าสำคัญมากนะครับ เราต้องเข้าใจครับว่าคนที่ซื้อของออนไลน์ “ส่วนใหญ่” แล้วไม่ได้มีกำลังซื้ออะไรมากมายครับ
และอีกอย่างเขาไม่ค่อยชอบอ่านอะไรมากด้วยครับ ถ้าเห็นว่าสวย น่ารัก ก็ทักมาหาเราเลย ไม่ได้อ่านว่าราคาอาจจะไม่เหมาะกับงบของตัวเอง
เพราะฉะนั้นเราต้องเข้าใจครับว่าสินค้าของเรา ไม่ว่าจะราคาถูกหรือแพง คนพวกนี้แหละครับจะเป็นคนที่ดูสินค้าของเรามากที่สุดครับ
ถ้าจะถามผมว่าสินค้าราคาประมาณไหนขายได้ดีที่สุด ผมก็คงจะต้องตอบว่า “ถูกที่สุดเท่าที่จะทำได้” ครับ หรือไม่เกิน “199 บาท” ครับ
เราจะเห็นนะครับว่าสินค้าที่ขายดีที่สุดจะเป็นสินค้าที่ราคาต่ำหมดเลย มันไม่ได้แปลว่าสินค้าราคาสูงขายไม่ได้นะครับ แต่ราคาต่ำมันซื้อง่าย ตัดสินใจง่ายกว่าเฉยๆ ครับ
ต้องเข้าใจครับว่าคนเราตัดสินตัวสินค้าด้วยสายตาตอน:
- ดูราคา
- ดูตัวสินค้า
เพราะฉะนั้นคุณเริ่มเห็นใช่ไหมครับว่าถ้าสินค้าของคุณเป็นสินค้าที่ค่อนข้างมีราคาสูงหน่อย (499+) โดยเฉพาะถ้าเป็นพวกเสื้อผ้า รองเท้า หรือสินค้าทั่วไป มันจะขายยากหน่อยแน่นอนครับ ถ้าไปลงขายใน Shopee หรือ Lazada
ใน Instagram ก็เหมือนกันครับ ถ้าคุณมีสินค้าที่ราคาค่อนข้างแพงหน่อย จะไปลงโฆษณาขาย มันจะต้องใช้งบค่อนข้างจะสูงตามไปด้วยครับ
เพราะว่าคุณจะต้องยิงโฆษณาผ่านคนที่ชอบสินค้าของคุณ แต่กำลังซื้อไม่พออีกเยอะครับ กว่าจะเจอคนที่ถูกใจในสินค้าของคุณจริงๆ และมีกำลังซื้อครับ
แต่ไม่ได้แปลว่าไม่มีนะครับ เดี๋ยวผมจะอธิบายเพิ่มเติมทีหลังครับ ตอนนี้เอาไว้แค่นี้ก่อนเฉพาะปัจจัยนี้ครับ
ปัจจัยที่ 3: สินค้าของคุณเป็นยังไง
สินค้าที่จะขายได้ในการใช้โฆษณา Instagram คุณต้องเข้าใจนะครับว่าไม่ใช่สินค้าทุกๆ ตัวมันจะขายได้ครับ
ยิ่งสินค้าของคุณเป็นสินค้าที่เฉพาะเจาะจงมากแค่ไหน ยิ่งโฆษณาขายยากมากแค่นั้นครับ อันนี้ผมพูดจากใจจริงเลยครับ
เพราะผมเห็นใจหลายๆ คนที่เข้าไปทำโฆษณา เพื่อหวังว่าจะมีลูกค้า เสียเงินไปเยอะ แต่สุดท้ายมาก็ไม่ได้ผลครับ เสียดายตังและเวลาครับ และมากไปกว่านั้นคือเสียดายโอกาสที่จะเอาไปทำอย่างอื่นได้มากกว่าครับ
ยกตัวอย่างร้านพี่คนนี้ครับ

พี่เขาขายเครื่องตัดหญ้ามือสองครับ ลองคิดดูนะครับว่าจะมีสักกี่คนใน Instagram ที่สนใจอยากจะซื้อเครื่องตัดหญ้าครับ แล้วเป็นมือสองด้วย
ถ้าทำบัญชี Instagram เหมือนพี่คนนี้ขึ้นมา แล้วไม่ได้ทำโฆษณา อันนี้ผมว่าไม่ได้เสียหายอะไรครับ เพราะทำขึ้นมาฟรี แถมได้ขึ้น Google ตอนคนค้นหาด้วย
แต่ถ้าจะมาทำโฆษณา ไม่มีทางได้ผลแน่นอนครับ เพราะว่าสินค้ามันไม่เข้ากับ platform ครับ
เพราะฉะนั้นคุณต้องเข้าใจนะครับว่าคุณต้องมีสินค้าที่มันเหมาะกับการทำโฆษณาก่อนครับ อย่าใช้สินค้าที่มันเฉพาะเจาะจงเกินไป เน้นคนกลุ่มใหญ่เข้าไว้ครับผม
โฆษณา Instagram ใช้งบเท่าไหร่ดีนะเนี่ย บอกหน่อย….
ตอนนี้เราก็มาถึงช่วงที่สนุกที่สุดแล้วนะครับ ฮ่าๆ ผมไม่อยากจะสารยายอะไรมาก เรามาค่อยๆ ดูกันครับว่าถ้าจะเริ่มทำโฆษณา Instagram โดยที่ไม่มีใครรู้เลยเนี่ย ต้องเตรียมเงินเท่าไหร่
คำตอบสั้นๆ ที่ผมบอกได้ตอนนี้ก่อนเลยก็คือ 5,000–20,000 บาท ครับ ขึ้นอยู่กับตัวสินค้าอีกทีครับอย่างที่ผมบอกไปตอนแรก
ถ้าสินค้าที่มีราคาสูง ก็ต้องใช้เวลาทำนานหน่อยครับ เพื่อที่จะเจาะกลุ่มเป้าหมายได้ถูกครับ
อันดับแรก: คุณจะต้องทำ A/B testing หรือ split test ก่อน
ถ้าคุณยังไม่รู้ว่ามันคืออะไร ผมจะอธิบายให้ฟังคร่าวๆ ในนี้ก่อนนะครับ ถ้าอยากจะอ่านเพิ่มเติมให้กระจ่าง รู้ทุกรายละเอียด ต้องตามไปดูในบทความอื่นของผมครับ
การทำ A/B testing หรือ split test ก็คือการที่เราเอากลุ่มเป้าหมาย หรือ รูปโฆษณา อะไรก็แล้วแต่ เอามายิงโฆษณาแข่งกันแล้วดูว่าตัวไหนได้ผลลัพท์ที่ดีที่สุดครับ
กระบวนการนี้เป็นกระบวนการที่สำคัญมากๆ ครับ เพราะว่ามันจะทำให้เรามั่นใจได้ว่าโฆษณาตัวไหน รูปอันไหน หรือกลุ่มเป้าหมายอะไรที่ได้ผลที่สุดครับ
ตอนที่คุณทำโฆษณา คุณอาจจะเดาๆ ว่า ใช้กลุ่มเป้าหมายตัวนี้ดีแล้ว แต่ยังไม่ได้ลองตัวอื่นที่มันอาจจะดีกว่าครับ มันเป็นเหตุผลที่ต้องทำ split test เพื่อให้ตัวเลขเป็นตัวนำทางของเราจะดีกว่าครับ
ซึ่งในกระบวนการนี้จะตกอยู่ประมาณ 1,000–5,000 บาท แล้วแต่ว่าเราจะยิงโฆษณาแข่งกันนานแค่ไหนและละเอียดแค่ไหนครับ
ถ้าเป็นคนที่กำลังเริ่มใหม่ ยังไม่มีประสบการอะไรมาก ผมแนะนำให้ยิงโฆษณาแข่งกันสัก 3 กลุ่มเป้าหมายก่อนครับ กลุ่มเป้าหมายง่ายๆ ครับ เช่น คนทำงาน, คนโสด, คนแต่งงาน อะไรประมาณนี้ครับ (ตัวอย่างเฉยๆ นะครับ อย่าทำตามครับ ฮ่าๆ)
อันดับที่สอง: ต้องรู้ว่ารูป/วิดีโอได้ผลกับ “ลูกค้าของคุณ” มากกว่ากัน
อันนี้มันมาจากตัวแรกที่เราคุยกันไปเมื่อกี้นะครับ นั้นก็คือการทำ A/B testing ครับ คุณต้องรู้ก่อนว่าวิดีโอหรือรูปนิ่ง อันไหนได้ผลกับกลุ่มเป้าหมายของคุณมากกว่ากันครับ
หลายๆ คนถามผมนะครับว่าสินค้าของเขาใช้วิดีโอหรือรูปนิ่งดี อันนี้ผมตอบไม่ได้จริงๆ ครับ เพราะว่ามันต้องลองยิงโฆษณาไป แล้วให้กลุ่มลูกค้าของเราเป็นคนบอกครับ ไม่ได้ผมเป็นคนบอก
ถึงแม้ผมจะทำโฆษณามานาน แต่พฤติกรรมของลูกค้า ยังไงสุดท้ายแล้วก็ต้องให้ลูกค้าเป็นคนบอกเรานะครับ ไม่ใช่เราเดาไปเอง

ตอนที่เราเข้าไปทำโฆษณา ให้เลือกการทำ split test แล้วเลือกในส่วนของ “creative” นะครับ
ตรงนี้เราจะสามารถใช้รูปและวิดีโอเพื่อทำโฆษณาได้ครับ นี้ตัวอย่างที่ผมทำให้ลูกค้าครับผม ลองดูครับว่ามันเป็นยังไง

อันนี้ผมไม่สามารถให้เห็นได้ว่าผลลัพท์เป็นยังไง เพราะว่าเป็นความลับของลูกค้าครับ ถ้าคุณเอาไปทำเอง ต้องลองดูครับว่าอันไหนได้ผลกว่ากัน
ผมขอย้ำอีกรอบนะครับว่าอย่าคิดไปเอง ให้ยิงโฆษณาไป แล้วค่อยมาดูทีหลังครับว่าอันไหนเหมาะที่สุดครับ ให้ลูกค้าของเราเป็นคนบอกเราแทนครับ
ตัวนี้ราคาที่จะต้องลงทุนทำโฆษณาก็จะอยู่ราวๆ 3,000–5,000 เช่นเดิมครับ จะมากหรือน้อยกว่านั้นก็ขึ้นอยู่กับว่าเราจะยิงโฆษณาเพื่อทำ A/B testing นานแค่ไหนอีกทีครับ
อันดับที่สาม: ยิงโฆษณาจนจับจุดและเข้าใจกลุ่มเป้าหมายได้
อันนี้จะต่อจาก 2 ตัวแรกที่ผมพูดถึงเมื่อกี้ครับ เมื่อเรายิงโฆษณาไปตอนแรก เราจะยังไม่ค่อยเข้าใจถึงกลุ่มเป้าหมายของเราเท่าไหร่ ว่าเขาต้องการอะไร ชอบรูปโฆษณาแบบไหน และซื้อของประเภทไหน
เพราะฉะนั้นคุณจะต้องยิงโฆษณาไปสักพักก่อนครับ เพราะจะเข้าใจถึงเขาได้ ตรงนี้ไม่มีใครบอกได้ครับว่ามันจะใช้เวลาแค่ไหน มันอยู่ที่ตัวคุณล้วนๆ เลยครับ
ถ้าคุณเริ่มรู้สึกว่าโฆษณามันเข้าล็อค ดูผลลัพท์มันเริ่มจะลงตัว นั่นแหละครับคือตอนที่คุณเริ่มจับจุดกลุ่มเป้าหมายของคุณได้แล้ว
การที่เรายิงโฆษณาไปตอนแรกๆ แล้วยอมแพ้ไปก่อนคือตอนที่เรายังไม่เข้าใจถึงกลุ่มเป้าหมายของเรา และเห็นว่าโฆษณามันยังไม่ค่อยได้ผล เลยยอมแพ้ไปเสียก่อนครับ

จริงๆ แล้ว สิ่งที่เราจะต้องทำก็คือรันโฆษณาไปก่อนครับ ถึงแม้มันจะแย่ตอนแรกๆ ถ้าเราจับจุดมันได้ มันก็จะดีขึ้นมาเองครับ
แต่ผมเข้าใจนะครับว่ามันไม่ได้ง่ายเหมือนที่พูด เพราะว่าเราเสียเงินไปตลอด จะทนดูอยู่ได้ยังไง จริงไหมครับ?
แต่นี้คือความจริงในการรันโฆษณาเลยครับ ต้องอดทนครับผม
สรุปเลยแล้วกัน รันโฆษณา Instagram เตรียมตังเท่าไหร่ดีนะ…
อย่างที่ผมบอกไปครับ ว่าถ้าจะให้ปลอดภัย ให้เตรียมเงินไว้สัก 5,000–20,000 บาทครับ เพื่อเอามาเริ่มต้น
ถ้าถามว่าน้อยกว่านี้ได้ไหม ผมว่ามันก็ได้นะครับ แต่สำหรับคนที่ยังไม่มีประสบการณ์ในการทำโฆษณามันจะเป็นไปได้ยากมากๆ ครับ ที่จะประสบความสำเร็จในการใช้งบน้อยๆ ในการทำโฆษณาครับ
อย่าว่าแต่คนที่มีประสบการณ์น้อยเลยครับ คนที่ทำมาหลายปี ผมก็ว่ายังยากเลยครับถ้าจะให้ทำแล้วได้ผลโดยการใช้งบน้อยๆ แบบนั้นครับ
เอาละครับ สรุปอีกครั้ง 5,000–20,000 บาท เตรียมไว้นะครับ
ถ้ามีคำถามอะไร ถามมาในคอมเม้นนี้ได้เลยครับ คนอื่นๆ จะได้ประโยชน์ด้วยครับ ถ้าผมตอบทีเดียว จะได้เห็นกันหลายคน สำหรับโพสต์นี้ เอาไว้แค่นี้ก่อนครับ 🙂
- วิธีทำ SEO ให้ keywords ติดอันดับสูงๆ บน Google - September 29, 2022
- วิธีใช้ Instagram Hashtags อย่างเซียน แบบละเอียด (ฉบับเต็ม) - September 22, 2022
- Multi-Channel Online Marketing: คืออะไร ใช้เอาชนะคู่แข่งได้ไหม? - September 15, 2022
Leave a Comment