Multi-Channel Online Marketing: คืออะไร ใช้เอาชนะคู่แข่งได้ไหม?

ตอนนี้ปี 2022 จะทำการตลาดออนไลน์ให้มันได้ผลนี่ มันต้องใช้เงินทุนและการทำให้แบรนด์ติดตลาดมันมีต้นทุนเยอะกว่าเดิมเยอะมากครับ ผมว่าอย่างน้อยๆ ก็ 5 เท่าเลย ถ้าเทียบกับ 10 ปีก่อนหน้านี้
ปัญหาก็คือมันมีการทำการตลาดออนไลน์เต็มไปหมดครับ ไม่ว่าจะเป็น SEO, Facebook, Instagram, TikTok, content marketing พูดทั้งวันก็ไม่หมด
แต่เพื่อนๆ รู้ไหมครับว่าถ้าจะมา focus แค่ platform เดียว มันก็ไม่ได้ผลอีก เพราะว่ากลุ่มลูกค้าของเราเขาอยู่เต็มไปหมด ถ้าไปแค่ 1 platform ก็เหมือนเรายังทำการตลาดยังไม่สุด แบบนี้ต้องทำยังไง?
วันนี้ผมเลยจะมาพูดถึงการทำการตลาดแบบ multi-channel ครับ
บทความนี้มีอะไรบ้าง
Multi-Channel Marketing คืออะไร
เอาง่ายๆ เลย Multi-channel marketing มันก็คือการที่เราเอาแบรนด์ของเราเนี่ย ไปลงอยู่ในหลายๆ platform นั่นเองครับ ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเพื่อนๆ ทำแบรนด์เกี่ยวกับครีมทาหน้า ก็ต้องอยากจะลงทั้ง Facebook, Instagram และ TikTok นี้ยังไม่รวมพวก influencer marketing อะไรอีก จริงไหมครับ?
นี่แหละครับ เขาเรียกว่า multi-channel marketing แต่จะทำยังไงให้มันได้ผล อันนี้มันต้องมีเทคนิคนิดหนึ่งครับ การเข้าไปทำโดยที่ไม่มีความรู้อะไรเลย มันค่อนข้างเสี่ยงครับ
เสี่ยงในเรื่องของการที่เงินลงทุนของเรา มันลงไปแล้วไม่คุ้มค่าครับ เช่น เอาเงินไปลง 100,000 แต่ได้กลับมาแค่ 5,000 บาท ถ้าเห็นแบบนี้อ่อนใจเลยครับ เพราะในโลกของการทำการตลาด ROI สำคัญมากๆ
ข้อดี/ข้อเสีย ของ Multi-channel Marketing
การทำ multi-channel marketing ก็ใช่ว่ามันจะมีแต่ข้อดีเสียอย่างเดียวนะครับ ผมไม่อยากจะให้เพื่อนๆ มองแบบนั้นครับ อยากจะให้มองเป็นมุมกว้างๆ ว่า มันมีข้อดีและข้อด้อยอะไรแบบไหน
แล้วข้อดีข้อด้อยที่ว่านั้น เราสามารถรับมันได้หรือทำอะไรกับมันได้หรือเปล่าครับ เรามาดูกันเป็นข้อๆ กันครับ

ข้อดี
- เข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้หลากหลายมากขึ้น
- ทำให้ลูกค้าเจอเราอยู่ทุกที่
- สร้างความคุ้นเคยกับลูกค้าให้กับแบรนด์
ข้อเสีย
- ใช้เวลา + เงินเยอะในการเข้าถึงลูกค้า
- แต่ละ platform ต้องมี content ที่เหมาะกับ platform นั้นๆ
- มันมีช่องทางเยอะมากๆ ที่จะทำ (มากกว่า 10+)
หลักๆ เลย คือมันดีแน่นอนครับที่เราจะสามารถเข้าถึงลูกค้าได้ในหลายๆ รูปแบบ แต่อย่างว่าครับ มันจะต้องใช้เวลาและบางทีอาจจะต้องใช้งบสูงหน่อยเพื่อจะต้องจ้างคนที่เขาถนัดด้านนั้นเข้ามาช่วยครับ
ในแต่ละช่องทางมันมีการทำ content หรือการเข้าถึงไม่เหมือนกันนะครับ เช่น ถ้าเป็นการทำ SEO ก็จะต้องเจาะจงเลยการเริ่มทำ content ในแนวของบทความขึ้นมา จะต้องเป็นบทความที่มีคุณภาพ จ้างคนมั่วๆ คงไม่ได้ครับ
ถ้าจะเป็น Youtube ก็จะต้องทำ content ที่มันเป็นที่นิยมบน Youtube ส่วนใหญ่อะไรที่เป็นที่นิยมบน Youtube จะไม่ติดหน้า 1 ของ Google ครับ เพราะว่าหัวข้อดึงดูดคนดู มันไม่สามารถทำให้น่าเบื่อได้ มันต้องออกแนวอยากให้เขาคลิกนิดหนึ่ง
เพื่อนๆ พอจะเห็นภาพไหมครับ ว่าแต่ละช่องทาง มันก็มีความซับซ้อนในตัวของมัน เราไม่สามารถที่จะทำช่องทางเดียวแล้วคิดว่ามันจะได้ผลเหมือนๆ กันไปหมด
Multi-channel marketing เหมาะกับธุรกิจเราหรือเปล่า
การที่เราจะเจาะกลุ่มลูกค้าได้ในหลายๆ ช่องทางนี้มันไม่ง่ายนะครับ ผมเลยคิดว่าน่าจะต้องคิด วางแผนมาให้ดีก่อนที่จะเริ่มลงมือทำก่อนครับ
อันดับแรกคือ “ธุรกิจของเราเหมาะกับการทำ multi-channel marketing ไหม” ถ้าเพื่อนๆ อ่านไปแล้ว เห็นว่า “ไม่เหมาะ” ก็ไม่ต้องทำดีกว่าครับ หาช่องทางที่มันเหมาะกับธุรกิจเรา แล้วเจาะจงไปที่ช่องทางนั้นจะดีกว่าครับ
- ธุรกิจที่มีลูกค้าหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นช่วงอายุ นิสัย หรือแม้แต่ฐานะกำลังซื้อ
- สินค้าที่คนส่วนใหญ่สามารถเข้าถึงได้ ราคาไม่แพงมาก (ขนม, เคสมือถือ อะไรประมาณนี้เป็นต้น)
- ธุรกิจที่มีงบพอสมควรและอยากจะตีตลาดในระยะยาว
ผมอยากจะมาขยายความข้อสุดท้ายนิดหนึ่งนะครับ ตีตลาดในระยะยาว ผมอยากจะบอกว่าในโลกของการทำการตลาดออนไลน์ มันไม่ได้มี “เส้นชัย” ให้เรานะครับ เช่น ถ้าเห็นว่าเราบรรลุเป้าหมายของเราแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการได้ยอด …../เดือน หรือ คนเข้าเว็บ …./วัน
ทุกๆ อย่างล้วนเป็นอะไรที่ “ชั่วคราว” ครับ เพราะว่ามันจะมีคนใหม่ๆ ธุรกิจใหม่ๆ ที่อยากจะเข้ามาแย่งตำแหน่งและพื้นที่ของเรา ยิ่งบรรลุเป้าหมาย ยิ่งต้องทำต่อครับ
ตอนนี้มาถึงหัวข้อที่ว่าการทำการตลาดแบบนี้ มันเหมาะกับธุรกิจเราไหม ผมบอกเลยว่า ถ้าธุรกิจไม่ใหญ่พอ หรือ เราไม่ได้คิดใหญ่พอ เอาเป็นว่าเจาะเฉพาะช่องทางแล้วกันครับ
หลักๆ แล้วเราควรเจาะช่องทางไหนดี เริ่มตรงไหนก่อน
ถ้าจะเริ่มตรงไหนก่อน มันก็ต้องกลับไปถามคำถามแรกเลยครับ “ธุรกิจของเราเกี่ยวกับอะไร” ถ้าธุรกิจเป็นอะไรที่ค่อนข้างจะเจาะจง เราจะต้องเลือกช่องทางที่มันสามารถเจาะได้แบบเน้นๆ ครับ
สุมมติถ้าผมทำธุรกิจเกี่ยวกับ “คลินิกกายภาพบำบัด”
สิ่งที่ผมจะต้องทำตอนนี้คือเลือกว่าช่องทางไหนบ้างที่จะทำการตลาดออนไลน์ดี ผมก็จะเลือกประมาณนี้ก่อนครับ
SEO | เพื่อให้คำค้นหาที่เราต้องการจะเจาะติดหน้า 1 |
Content Creation/Marketing | ต้องสร้างคอนเทนเพื่อให้ลูกค้าเห็นว่าเราเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านนี้นะ ทำให้คนไข้ดีขึ้นจริงๆ (Youtube, Facebook, Tiktok, Instagram) |
SEM | ซื้อโฆษณา Google Ads ใน “ช่วงแรกๆ” ที่ยังไม่มีคำค้นหาของเราติดหน้า 1 เลย |
เพื่อนๆ พอจะเห็นภาพคร่าวๆ ไหมครับว่ามันควรจะเป็นยังไง? ใช่ครับ มันดูๆ แล้วมันก็เยอะพอสมควรนะครับถ้าจะมาแยกเป็นรายละเอียดปลีกย่อยออกมา ดังนั้นเราต้องมาดูหลายๆ อย่างประกอบด้วยครับ
งบประมาณ
แน่นอนครับ ทำอะไรพวกนี้ ยิ่งหลากหลายช่องทาง มันยิ่งต้องมีโอกาสจะเสียเงินเยอะขึ้นจริงไหมครับ? เพราะฉะนั้นต้องรู้ก่อนนะครับว่างบที่เราสามารถเตรียมมาเพื่อการทำการตลาดหลากหลายช่องทางแบบนี้ได้ เราเตรียมไว้เท่าไหร่
ถ้ามาดูเอาจริงๆแล้ว มันไม่ได้มีอะไรมากเลยนะครับ ถ้าเป็นผม ผมน่าจะเตรียมสัก 500,000 แบ่งใช้ประมาณ 1 ปี ทำทุกช่องทางนี้ให้มันติดตลาดครับ
ยกตัวอย่างตัว SEO มันใช้เวลานานครับ กว่าจะเริ่มเห็นผล อย่างน้อยๆ ก็น่าจะราวๆ 6 เดือนครับ แต่เอาจริงๆ แล้ว ค่าใช้จ่ายมันไม่มากนักหรอกครับ ถ้าเขียนบทความเอง มีความรู้เรื่องการทำ WordPress นิดหน่อย (ถ้าใช้) และมีความรู้ด้านเทคนิคเกี่ยวกับพวก hosting ทำเองได้เลยครับ
ส่วนตัว Content creation/marketing ถ้ามีกล้องของตัวเอง สามารถถ่ายเองได้เลยครับ ตัดต่อเองง่ายๆ ก็ได้ครับ แต่ในแต่ในช่องทางเช่น Facebook, Instagram, Tiktok เราจะต้องทำวิดีโอคนละแบบกันนะครับ วิดีโอตัวเดียวกันก็ได้ แต่มันจะต้องมีรูปแบบที่ไม่เหมือนกัน พอนึกภาพออกไหมครับ?
ตัว SEM ก็น่าจะใช้งบนิดหน่อยครับ ถ้าเป็น keywords ที่มันมีการแข่งขันสูง ก็อาจจะมีค่าคลิกที่สูงหน่อยครับ
กลุ่มเป้าหมาย
ก่อนที่จะเริ่มทำการตลาดไม่ว่าจะรูปแบบไหน ผมคิดว่ามันเป็นสิ่งที่จำเป็นมากนะครับที่ต้องเข้าใจก่อนว่ากลุ่มเป้าหมายของเราเป็นแบบไหน เขาใช้ช่องทางในการหาข้อมูล แก้เบื่อ อะไรยังไง แบบไหนบ้าง
ถ้าเราเข้าใจตรงนี้แล้ว เราจะสามารถมาเริ่มทำ mind map ขึ้นมาได้ว่าเราควรจะเข้าไปเจอเขาในช่องทางไหนครับ อารมย์เหมือนรู้ว่าเขาเดินผ่านจุดนี้ประจำนะ เพราะฉะนั้นก็มีพนักงานขายหรือไม่ก็ป้ายไปอยู่แถวๆ นั้นให้เขาเห็นง่ายๆ

เพื่อนๆ พอจะนึกภาพออกไหมครับ ถ้าเราพอจะรู้แล้วว่ากลุ่มลูกค้าของเราเขาเป็นยังไง เราจะรู้หลายๆ อย่างเกี่ยวกับเขา ผมแนะนำให้สร้าง customer journey ออกมาแบบนี้ครับ
เราจะได้เข้าใจเขามากขึ้น อย่ามองเขาเป็น “กลุ่มลูกค้า” นะครับ มองเขาเป็นคน 1 คนครับ ที่ผมทำตัวอย่างขึ้นมา ผมก็ตั้งชื่อเขาว่า “คุณเจน”
เพราะเอาจริงๆ คนเรามันก็คล้ายๆ กันครับ ถ้าอยู่ในสภาพแวดล้อมเหมือนๆ กัน อยู่ในสังคมเดียวกัน มันไม่ต่างกันมากขนาดนั้นหรอกครับ
มีทีมสร้างพร้อมไหม
ข้อนี้สำคัญมากครับ เพราะว่าการที่เราลงไปเล่นหลายๆ ช่องทาง เราต้องมั่นใจก่อนว่าเรามีทีมงานเพียงพอครับ เพราะเอาจริงๆ แต่ละช่องทาง มันต้องการความชำนาญไม่เหมือนกันครับ
ยกตัวอย่างตัวผมเลย ผมถนัดเรื่องการทำคอนเทนท์และยิงโฆษณานะครับ แต่เรื่อง graphics ตัดต่ออะไรพวกนี้ ทักษะทางด้านนี้ผมไม่ได้เลย
ถ้าผมจะต้องทำจริงๆ ก็อาจจะต้องมีทีมงานเข้ามาช่วยสักหน่อยครับ ถ้าทำเอง สงสัยจะยากนิดหนึ่ง มันก็คงทำได้แหละครับ แต่คงจะออกมาไม่ดีขนาดนั้น
ถ้าเพื่อนๆ อยากจะทำ อย่างที่ผมบอกเลยครับ เตรียมทีมงานในด้านที่ตัวเองด้อยเอาไว้ครับ ถ้าอะไรที่ทำได้เองก็ทำไปก่อนครับ เพราะว่าการทำเอง มันทำให้เราเข้าใจกระบวนการของการทำงานมากยิ่งขึ้นครับ
วิธีสร้าง multi-channel marketing
ตอนนี้เราก็มาถึงจุดสำคัญกันแล้วครับ นั่นก็คือวิธีการทำเลย เพราะเขาคุยถึงเรื่องของการเตรียมตัวมาก็มากแล้ว เรามาดูถึงวิธีการทำกันเลยดีกว่าครับ ว่ามันมีอะไรแบบไหน ยังไงบ้าง
สร้าง Buyer Persona
การมี buyer persona เป็นสิ่งที่สำคัญมากๆ นะครับ เหมือนกับที่ผมบอกไปข้างบนในเรื่องของกลุ่มเป้าหมายครับ เราต้องเข้าใจเขาก่อน เราถึงจะรู้ว่าควรจะเข้าถึงเข้ายังไง
ถ้าเราเข้าใจเขา จะสามารถช่วยเราได้ดังนี้ครับ
- รู้ว่าเขาต้องการอะไร
- รู้ว่าอะไรที่กำลังทำให้เขาอยากจะแก้มากๆ ตอนนี้ (pain points)
- รู้ว่าเขาใช้ช่องทางไหน ทำอะไร
- รู้ว่าเขาไม่ชอบอะไร
- รู้ว่านิสัยเขาเป็นยังไง ที่ๆ เขาชอบไป
พอจะนึกภาพออกไหมครับ? อารมย์เหมือนจะจีบคนๆ หนึ่งครับ ถ้าอยากจะจีบให้ติด ต้องใส่ใจ

ผมยกตัวอย่างการทำ Buyer persona ของคุณแดนมาให้ดูนะครับ เราจะเห็นว่าเราจะเข้าใจเขาว่าสภาวะของชีวิตเขาเป็นยังไงตอนนี้ เขาอยากจะได้อะไร “ทำไมเขาถึงอยากได้สิ่งนั้น”
เข้าใจว่าเขาต้องการอะไรมันยังไม่พอนะครับ เราต้องรู้ด้วยว่าทำไม
ถ้าเพื่อนๆ ที่ทำเกี่ยวกับการ training คนให้มีความสามารถในด้านต่างๆ มากขึ้น ผมมั่นใจครับว่าคนอย่างคุณแดนก็ต้องสนใจครับ เพราะว่าเขามี pain point แล้ว จริงไหมครับ?
คุณแดนเขาอยากที่จะพัฒนาตัวเอง เพื่อที่เขาจะสามารถเลื่อนตำแหน่งได้หรือไม่ก็หางานใหม่ที่เขาสามารถใช้เวลากับครอบครัวตัวเองได้
ต้องใช้ Remarketing เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ
การทำ Remarketing เนี่ย เอาจริงๆ มันไม่ได้มีอะไรที่ซับซ้อนมากนะครับ ถ้าเป็น Facebook remarketing ผมก็ได้เขียนบทความเอาไว้แล้ว เผื่อเพื่อนๆ คนไหนอยากจะเข้าไปอ่านเพิ่มเติมนะครับ
ผมคิดว่าตอนนี้ ในยุคที่ใครๆ ก็สามารถเข้าถึงลูกค้าได้ไม่ยาก ลูกค้าไม่ว่าจะไปไหนก็จะเจอโฆษณาอยู่ตลอด โดนพยายามขายของตลอด
เขาคงไม่อยากจะซื้อทันทีหรอกครับ เขาอาจจะใช้เวลานิดหนึ่งกว่าเขาจะคิดและตัดสินใจว่าเขาอยากจะซื้อของที่เราอยากจะขายให้เขา ยกเว้นแต่ของที่เราขายมันราคาไม่แพง ใครๆ ก็ซื้อได้ อย่างไก่ย่าง 100 บาท อะไรแบบนี้ เขาไม่ต้องคิดมากหรอกครับ อยากจะซื้อก็ซื้อมาลองเลย
แต่ถ้าเป็นสินค้าราคาแพงหน่อย ผมมั่นใจครับว่าในสภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ด้วย เขาต้องคิดหน้าคิดหลังแน่นอนครับ
เพราะฉะนั้นการทำ remarketing มันสำคัญมากๆ นะครับ เพราะว่าถ้าเขาเห็นโฆษณาเราแค่ครั้งเดียว เพื่อนๆ คิดว่าจะเกิดอะไรขึ้นครับ เขาจะต้องลืมเราจริงไหมครับ?
เพราะว่าโฆษณาบนโลกออนไลน์ มันติดๆ กันไปหมด
ต้องมีการ tracking วัดผลที่ดี
ส่วนนี้เป็นส่วนสำคัญเลยครับ เพราะว่าเราทำการตลาดอยู่หลายช่องทางจริงไหมครับ เราไม่แน่ใจว่าลูกค้าเข้ามาจากทิศทางไหนบ้าง
ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเรามีเว็บไซต์ของเราเป็นศูนย์กลาง แล้วไปทำการตลาดหลายๆ ช่องทาง เราจะไม่รู้เลยว่าคนที่ทักเข้ามาแล้วซื้อ เขามาจากช่องทางไหนบ้าง เพราะฉะนั้นสำคัญมากครับ
เพราะฉะนั้นตอนที่เรามีอยู่ 2 ทางเลือกที่จะสามารถ track เขาได้ครับ
- ถามไปเลย ว่าเขามาจากไหน
- ใช้ Custom URL ช่วย
ถ้าถามไปเลยนี้ ผมคงไม่ต้องช่วยเพื่อนๆ แล้วนะครับ เพราะว่าน่าจะรู้ๆ กันอยู่แล้วว่าต้องทำยังไง แต่ถ้าเป็นการใช้ custom URL ผมมั่นใจว่าหลายๆ คนก็ยังไม่แน่ใจมันน่าตาเป็นยังไง
เพื่อนๆ เคยเห็นลิ้งค์ที่มันยาวๆ ไหมครับ?

แบบนี้แหละครับ ที่เขาใช้ track เราครับ ว่าเรามาจากที่ไหนที่เขาไปทำการตลาดมา เจอเขาได้ยังไง มันก็จะบอกหมดเลยครับ
ถ้าเพื่อนๆ จะทำมันไม่ยากครับ ไม่ต้องเขียนเอง สามารถใช้ Campaign URL builder ของ Google ได้ครับ

เพื่อนๆ จะเห็นว่าข้างล่างของรูปที่ผมถ่ายมาให้ดู จะเป็น URL ที่ผมสามารถเอาไปใช้ทำโฆษณา/การตลาดได้เลยครับ เพื่อนๆ สามารถเอาไปทำให้มันสั้นลงก่อนก็ได้นะครับ ถ้าไม่อยากทำให้มันดูไม่ดีครับ
สุดท้ายแล้ว ต้องใจเย็นๆ
ผมเข้าใจนะครับว่าโลกสมัยนี้ อะไรมันก็ต้องเร็วไปหมด จะแย่งลูกค้าก็ต้องรีบ ถ้าไม่อย่างนั้นก็จะมีคนอื่นแย่งไปก่อน แต่ต้องเข้าใจครับว่าการทำการตลาดแบบ multi-channel เนี่ย ไม่ว่าจะเป็น online หรือ offline
ผมคิดว่าต้องให้เวลามันหน่อยครับ มันจะได้ค่อยๆ ที่จะเห็นผลได้ครับ อย่าเพิ่งรีบไปปิดช่องทางนั้นก่อนเลยครับ รอสักหน่อย ผมมั่นใจว่าอีกไม่นาน เพื่อนๆ ก็จะเริ่มเห็นว่าช่องทางไหนมันได้ผล ช่องทางไหนไม่ได้ผล
แล้วถึงตอนนั้นมา เราก็จะรู้ได้แน่ชัดว่าควรจะไปเจาะจงที่ช่องทางไหนกันแน่
เอาจริงๆ นะครับ หลายๆ คนมักจะเดาเอาเองว่ากลุ่มเป้าหมายอยู่ที่นั่นที่นี้ แต่ยังไม่เคยลองทำเลย แบบนั้นไม่ได้นะครับ ต้องดูลูกค้าเป็นหลักครับ อย่าเดาเอาเอง
ยังไงเพื่อนๆ ลองเอาไปทำดูนะครับ ขอให้เฮงๆ ก้าวหน้ากับการงานและหน้าที่ครับ
- วิธีทำ SEO ให้ keywords ติดอันดับสูงๆ บน Google - September 29, 2022
- วิธีใช้ Instagram Hashtags อย่างเซียน แบบละเอียด (ฉบับเต็ม) - September 22, 2022
- Multi-Channel Online Marketing: คืออะไร ใช้เอาชนะคู่แข่งได้ไหม? - September 15, 2022
Leave a Comment